tag:blogger.com,1999:blog-34034321119141069802024-03-22T16:29:16.044+07:00ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ ผู้นำเรื่องการป้องกันกำจัดโรคของ กล้วยไม้และไม้ดอกไม้ประดับ โดยเฉพาะโรคที่เกิดจากเชื้อราและแบคทีเรีย เช่น โรคเน่าต่างๆ โรคใบจุด โรคแอนแทรคโนส โรคปื้นเหลือง โรคราดำ โรคราแป้ง และทุกโรคที่เกิดจากเชื้อราและแบคทีเรีย ผลิตและควบคุมโดยนักจุลชีววิทยาและนักโรคพื
เว็บหลัก http://www.kokomax.comชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพhttp://www.blogger.com/profile/05782375648581338254noreply@blogger.comBlogger12125tag:blogger.com,1999:blog-3403432111914106980.post-81702449265624394712009-09-08T12:57:00.005+07:002009-09-08T13:02:55.640+07:00++ การปลูกเลี้ยงกล้วยไม้แวนด้า ++<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhiKMrtu1hoit7w2d-XEXVhA-kOPpJiUiinKo_0q-awpSHC4kr-V5aY5lk7fAavBtj_hfC2aGnjhyphenhyphenICNGqoerxTp4S1n0sh_0_QrEXP_uSSBqwZxbgGlmMTRlrm83VgNfYXYjWXXR7slDQ/s1600-h/vanda.jpg"><img style="cursor:pointer; cursor:hand;width: 240px; height: 320px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhiKMrtu1hoit7w2d-XEXVhA-kOPpJiUiinKo_0q-awpSHC4kr-V5aY5lk7fAavBtj_hfC2aGnjhyphenhyphenICNGqoerxTp4S1n0sh_0_QrEXP_uSSBqwZxbgGlmMTRlrm83VgNfYXYjWXXR7slDQ/s320/vanda.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5378973020315224898" /></a><br />การเลี้ยงกล้วยไม้แวนด้านั้นต้องใช้ปุ๋ยใช้ยามากหน่อยนิดนึงครับ<br /><br />ไม้พวกแวนด้าถ้าอยู่ในร่มมาก เน้นว่ามากนะครับ<br />จะไม่ค่อยงาม เพราะยอดจะอ่อน ใบยาว ตายง่าย ถ้าได้รับแดดอ่อนๆตลอดทั้งวันจะแข็งแรง การย้ายจากกระเช้าถ้วยนิ้วไปลงกระเช้าที่ขนาดใหญ่กว่า หรือต้นที่ใหญ่แล้วต้องการเปลี่ยนกระเช้าก็ใช้วิธีเดียวกันครับ อย่าดึง เพราะรากจะฉีก ทำให้ราเข้า ทำให้โตช้าเพาะต้องใช้เวลาสร้างรากใหม่<br /><br />ซึ่งวิธีที่ถูกต้องคือ นำไปแช่น้ำให้รากอ่อนก่อน แล้วจึงนำลงใส่ในกระเช้า แล้วนำฟิวอ่อนมัดที่รากกับก้นกระเช้า โดยก่อนจะมัดฟิวควรดัดต้นให้ตรงเสียก่อน แล้วใช้ฟิวรั้งลำต้นไว้กับลวดกระเช้าอีกที เวลาผูกฟิวที่ดี หมุนเกลียวแค่รอบหรือ 2 รอบก็พอ แต่เวลาหมุนเกลียว ควรจะดึงฟิวขณะหมุนด้วย เมื่อกล้วยไม้ติดแล้วนำไปแขวน โดยให้ส่วนปลายห้อยหัวลงดินรอจนรากเริ่มแตกขึ้นมาพอประมาณก็แขวนตามปกติคือให้รากชี้ลงดิน<br /><br />น้ำ<br />เป็นปัจจัยสำคัญของแวนด้า ทั้งนี้ต้องดูโรงเรือนและทิศทางลมด้วย การรดน้ำต้องรดจนชุ่มโชก<br />เราสามารถตรวจสอบได้โดยดูที่ราก ถ้าให้พอเหมาะ รากจะนิ่ม และจะดูชุ่มชื้น จับรากงอดูรากจะไม่มีเสียงกังกร๊อบเกร็บ<br /><br />การมุงแสลนของแวนด้าควรให้มีแสงประมาณ 40% คือใช้แสลนที่กรองแสง 60 % พื้นเรือนกล้วยไม้ที่ดีที่สุดคือ ขี้เถ้าแกลบอัดแน่น เพราะจะเก็บน้ำได้ประมาณ 7 เท่า และจะมีความชุ่มชื้นให้กับกล้วยไม้ได้มาก หรือใช้ทรายก็ได้<br /><br />สำหรับใบแวนด้าที่เขียวจัด แสดงว่าปุ๋ยไนโตรเจนสูงหรือร่มจัด นั่นคือแสงแดดไม่พอเพียง ซึ่งแวนด้าไม่ชอบข้อควรจำ แวนด้านั้นชอบแสงแดด<br /><br />ปุ๋ย<br />ในฤดูฝนควรงดปุ๋ยจำพวกยูเรีย และเมื่อกล้วยไม้มีใบ 6-7 ใบ (แล้วแต่สายพันธุ์) แสดงว่ากล้วยไม้ใกล้ให้ดอก ให้แยกต้นนั้นมาต่างหากแล้วเปลี่ยนสูตรปุ๋ย เป็น 2 ตัวหลังสูง เช่น 13-27-27 หรือคู่มหัศจรรย์ ช้อนเงิน-ช้อนทอง โดยก่อนเปลี่ยนสูตรปุ๋ย ให้รดน้ำตอนเช้าให้รากนิ่มเสียก่อน แล้วจึงตามด้วยปุ๋ย<br /><br />แต่เมื่อให้ปุ๋ยเร่งดอกแล้ว กล้วยไม้ยังไม่ออกดอก ให้หยุดการใช้ปุ๋ยเร่งดอก แล้วใช้ปุ๋ยสูตรเดิม คือ<br />สูตรเสมอ 21-21-21 หรือคู่มหัศจรรย์ ช้อนเงิน-ช้อนทอง<br /><br />บางครั้งการเลี้ยงกล้วยไม้ อาจเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ เราควรมีการทดลอง พร้อมกับใช้ศิลปะในการดูแลครับ <br /><br />ลักษณะที่ดีของไม้พวกแวนด้า<br /><br />ดอกของแวนด้าที่ดีควรมีลักษณะดังนี้<br />1 ก้านช่อแข็ง มีขนาดใหญ่ ก้านควรยาวเกือบเลยลำต้นหรือเลยลำต้นขึ้นไป<br />2 ก้านดอกสั้น ทำมุมกับก้านดอก 30-45 องศา <br /><br />3. ความหนาของดอกดี ดูช่อดอกเป็นระเบียบ<br />4 จำนวนดอกมาก<br />5 ดอกกลม หรือ ฟอร์มดี<br /><br />ดังนั้นองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับความสวยงาม หรือ การออกดอกสม่ำเสมอ จึงขึ้นอยู่กับปัจจัยที่สำคัญ3อย่างคือ<br />1 แสง<br />2 การถ่ายเทอากาศ<br />3 น้ำและปุ๋ย <br /><br /><br />ถ้าเป็นน้ำประปาขอแนะนำว่า ควรใส่พาชนะไม่ต้องปิดฝาทิ้งไว้สักวันหรือสองวันเพื่อให้คลอรีนที่อยู่ในน้ำประปา ระเหยออกไปเสียก่อน เพราะคลอรีนจะไปทำลายส่วนผสมบางชนิดของปุ๋ย แล้วยังไปเคลือบรากและลำต้นของกล้วยไม้ ทำให้กล้วยไม้ไม่สามารถดูดซึมสารอาหารได้เต็มที่<br /><br />ขอขอบคุณ คู่มหัศจรรย์ ช้อนเงิน-ช้อนทอง<br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi1YXTQBMYULtyUqsz59z_EyDBmQ__tHwKZSAXg-Iu-buMVfTzmAcvIPNOw3o8nx6kdVJ5joO1QnAhLY9hOrByDBm8SgbsKxRYu6wwul6-qT3jyOE3memdQHNry-5dRAPlJFXhKkkv80Ps/s1600-h/%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B9%884.jpg"><img style="cursor:pointer; cursor:hand;width: 150px; height: 167px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi1YXTQBMYULtyUqsz59z_EyDBmQ__tHwKZSAXg-Iu-buMVfTzmAcvIPNOw3o8nx6kdVJ5joO1QnAhLY9hOrByDBm8SgbsKxRYu6wwul6-qT3jyOE3memdQHNry-5dRAPlJFXhKkkv80Ps/s320/%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B9%884.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5378972257807094786" /></a>ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพhttp://www.blogger.com/profile/05782375648581338254noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3403432111914106980.post-30672872504468064842009-09-08T12:51:00.004+07:002009-09-08T12:55:02.258+07:00#@ เทคนิคการให้ปุ๋ยกล้วยไม้ @#<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjdwTEZHKYWnvYhIQiuc4nmovsj5UyYS1s7rKAUAOzolhA8584fMnOd3GJJEWXMQFxGym2yPomAImGfuOmrImIrD_jV1TEtuRr2vuTD5tZ7HtB_AFX6h3N50KER6bgo5z011aUFlaIHldA/s1600-h/00119_0.jpg"><img style="cursor:pointer; cursor:hand;width: 320px; height: 208px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjdwTEZHKYWnvYhIQiuc4nmovsj5UyYS1s7rKAUAOzolhA8584fMnOd3GJJEWXMQFxGym2yPomAImGfuOmrImIrD_jV1TEtuRr2vuTD5tZ7HtB_AFX6h3N50KER6bgo5z011aUFlaIHldA/s320/00119_0.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5378971052368383314" /></a><br />“ปุ๋ย” เป็นอาหารของกล้วยไม้ กล้วยไม้ที่เราเลี้ยงจะไม่ได้อาหารอะไรอีกแล้ว นอกจากสารประกอบ “ไนโตรเจน” ที่มีอยู่ในน้ำฝน ซึ่งถือเป็นอาหารหลัก ชนิดหนึ่งของกล้วยไม้หรืออาจจะได้แร่ธาตุบางอย่างจากน้ำ ซึ่งถือว่าไม่เพียงพอ จะต่างจากกล้วยไม้ที่อยู่ตามธรรมชาติที่ขึ้นอยู่ในที่ๆเหมาะสม จะได้อาหารจากเปลือกไม้ที่มันเกาะใบไม้กิ่งไม้แห้ง น้ำฝนซึ่ง ชะเอาสารอาหารต่างๆ จากต้นไม้เบื้องบนลงมา ฯลฯ แก่กล้วยไม้ที่เราเลี้ยงจะปลูกอยู่ในกระเช้าแขวนในโรงเรือนหรือใต้ชายคา ซึ่งเราต้องให้ปุ๋ยจึงจะทำให้กล้วยไม้ ได้สารอาหารเพียงพอและงามสมบูรณ์<br /><br />เรื่องของ “การให้ปุ๋ย” นี้ผมอยาก “เน้นเรื่องวิธีการและจังหวะเวลา” ในการให้ปุ๋ยมากกว่าจะมาใส่ใจเรื่องยี่ห้อหรือสูตรของปุ๋ยมากนัก นักเลี้ยงกล้วยไม้มืออาชีพจะให้ความสำคัญถึงเทคนิค คือวิธีการและจังหวะเวลามากกว่า แต่นักเลี้ยงสมัครเล่น ซึ่งไม่เคยรู้หรือเข้าใจเลย จะเน้นเรื่องยี่ห้อ หรือสูตรปุ๋ยเร่งดอก เร่งโน่น เร่งนี่ ซึ่งเป็นประเด็นที่รองลงไปมาก<br /><br />จะ “เลี้ยงกล้วยไม้ให้งามได้มาตรฐาน” ใช้ ปุ๋ยสูตรเสมอ เป็นดีที่สุดครับ เพราะปุ๋ยสูตรเสมอมีความสมดุล ของ N-P-K (ไนโตรเจน-ฟอสฟอรัส-โปแตสเซียม) อย่างเหมาะสมเพียงพอที่กล้วยไม้ต้องการ เพื่อช่วยในการเติบโต(บำรุงต้นและใบ)บำรุงรากและบำรุงในการออกดอก ปุ๋ยควรเป็นสูตรสูง หมายถึง N-P-K รวมกันไม่น้อยกว่า 51 นั่นคือ ตั้งแต่สูตรเสมอ 17-17-17 ขึ้นไป จะเป็นยี่ห้ออะไรไม่ใช่เรื่องสำคัญนัก แต่ปุ๋ยเกล็ดละลายน้ำที่ดีควรจะละลายเร็วเมื่อเราผสมลงไปในน้ำ หากละลายช้าหรือตกเป็นตะกอนก็ไม่ค่อยดีนัก เราไม่ต้องกังวลว่าใช้สูตรเลขน้อย เช่น 18-18-18 แล้วกล้วยไม้จะได้อาหารน้อยกว่าสูตรเลขสูงกว่า เช่น 21-21-21 <br /><br />ทั้งนี้เพราะสัดส่วนการผสมปุ๋ยกับน้ำที่เราต้องผสมนั้นไม่เท่ากัน ขอให้ผสมตามที่สลากข้างขวดแนะนำไว้ก็แล้วกัน ทางผู้ผลิตปุ๋ยเขาคำนวนมาแล้วว่าต้องผสมน้ำในสัดส่วนเท่าใดจึงเหมาะสม แต่เราต้องผสมตามสัดส่วนสำหรับกล้วยไม้นะครับที่ข้างสลากเขาระบุด้วยว่าถ้ากล้วยไม้จะให้สัดส่วนใด วิธีการผสมที่เหมาสมที่สุดคือการชั่ง เช่น ที่สลากเขียนว่าสำหรับกล้วยไม้คือ 40 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร นั่นหมายถึง เราต้องผสมปุ๋ยโดยการชั่ง ในสัดส่วน 40 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ 1 ปิ๊บ จริงๆ แต่ในทางปฎิบัติ นักกล้วยไม้อาจไม่ใช้ตาชั่งแต่จะใช้วัดเป็นปริมาตรแทน โดยอนุโลมว่าปุ๋ยหนัก 1 กรัม มีปริมาตรประมาณ 1 ซี.ซี. ดังนั้นจึงใช้ช้อนหรือถ้วยตวง ปุ๋ย 40 ซี.ซี. ต่อน้ำ 20 ลิตรก็ได้ครับ เราจะรดปุ๋ยด้วยน้ำปริมาณเท่าใดก็ต้องคำนวนปุ๋ยในปริมาณที่ได้สัดส่วนกัน <br /><br />อย่างในกรณีนี้ถ้าเราจะรดปุ๋ยด้วยน้ำปริมาณเต็มถัง 100 ลิตร เราก็ต้องตวงปุ๋ยผสมในปริมาณ 200 กรัม หรือ 200 ซีซี. จึงจะเหมาะสม<br /><br />ในการผสมปุ๋ยต้องคนให้ปุ๋ยละลายกับน้ำให้สมบูรณ์มากที่สุด สารละลายปุ๋ยที่เราผสมจะได้มีประสิทธิภาพสูงสุด แล้วใช้ฉีดเป็นฝอยสเปรย์ละเอียดให้ชุ่มทั้งราก และต้น ถ้าเราเลี้ยงกล้วยไม้จำนวนมากก็ต้องใช้ปั๊มไฟฟ้าและฉีดด้วยหัวสเปรย์ละเอียด ถ้าเลี้ยงน้อยอาจใช้ปั๊มลูกสูบ ที่ใช้มือปั๊มโยกในการฉีดหรือใช้ถังอัดความดันที่ปั๊มความดันเข้าไปก่อนแล้วฉีด แต่ต้องตั้งหัวฉีดให้เป็นฝอยละเอียด เพื่อให้สารละลายปุ๋ยกระจายอย่างทั่วถึง และไม่เป็นการสิ้นเปลืองอีกด้วย<br /><br />กล้วยไม้ นั้นสามารถนำอาหารเข้าสู่ต้นได้ทั้งทางรากและทางใบ ส่วนใหญ่(80-90 %)จะเข้าทางรากและส่วนน้อยสามารถเข้าทางใบได้ ซึ่งจะต่างจากพืชอื่นๆ ที่เข้าทางรากเพียงอย่างเดียว แต่อาหารนั้นจะต้องอยู่ในรูปของของเหลว(สารละลาย)เท่านั้นจึงจะเข้าสู่ทางรากและต้น(ใบ)ได้ ดังนั้นเราต้องฉีดปุ๋ยให้เปียกชุ่มทั้งรากและต้นครับ<br /><br />การให้ปุ๋ยเข้าสู่รากกล้วยไม้นั้นก็ไม่ใช่การเข้าแบบดูดซึมผ่านเนื้อเยื่อ หากแต่เป็นการเข้าในลักษณะของการแลกเปลี่ยนประจุไฟฟ้า ดังนั้นเราไม่ต้องกังวลว่ารากกล้วยไม้จะอิ่มน้ำอยู่ก่อนแล้วจะดูดปุ๋ยไม่เข้าถึงแม้รากกล้วยไม้จะอิ่มน้ำอยู่ก่อนพอประมาณแต่ก็สามารถนำปุ๋ยเข้าสู่รากได้โดยการแลกเปลี่ยนประจุไฟฟ้า ท่ไม่ใช่การดูดซึมผ่านเนื้อเยื่อธรรมดาแต่ขบวนการให้ปุ๋ยกล้วยไม้ เราต้องฉีดให้รากเปียกชุ่มเสมอ หากฉีดแบบผ่านๆ รากยังไม่เปียกชุ่มเลย การที่ปุ๋ยจะเข้าสู่รากกล้วยไม้ก็เป็นไปได้ยากและไม่มีประสิทธิภาพ<br /><br />มีวิธีให้ปุ๋ยที่ประหยัดและได้ผลดีคือ ฉีดน้ำรดกล้วยไม้ให้มีความชุ่มพอประมาณ และรอสักครู่ให้น้ำที่รากเริ่มแห้งพอหมาดๆ แล้วค่อยฉีดปุ๋ยวิธีนี้เป็นที่นิยมกันมากในหมู่ นักเล่น กล้วยไม้มืออาชีพที่เลี้ยงกล้วยไม้จำนวนมากๆ เพราะจะเป็นการประหยัดปุ๋ยไปได้ไม่น้อย(อาจถึง 50%) ทั้งนี้เมื่อรากกล้วยไม้เปียกชุ่มและเริ่มหมาดสามารถช่วยในการนำสารละลายปุ๋ยเข้าสู่รากได้โดยง่ายและทั่วถึงทำให้รากไม่ต้องฉีดปุ๋ยมากถึงรากเปียกชุ่ม เพราะรากได้เปียกชุ่มแล้วการที่เรารดน้ำก่อน เราสามารถฉีดปุ๋ยได้อย่างรวดเร็วมีประสิทธิภาพคล้ายคลึงกับการฉีดปุ๋ยจนชุ่มด้วยวิธีปรกติ วิธีนี้มีข้อเสีย คือ เราต้องเสียเวลารดน้ำกล้วยไม้ก่อน และรอจนหมาดจึงค่อยฉีดปุ๋ย แต่มีข้อดีคือ สามารถประหยัดปุ๋ยได้เป็นอย่างมากในกรณีมีกล้วยไม้มากๆ<br /><br />เวลาในการให้ปุ๋ยนั้น ควรให้ในเวลาเช้าเท่านั้น หากไม่จำเป็นจริงๆ ไม่ควรให้ในเวลาเย็น เพราะเชื้อราที่แฝงอยู่ที่กล้วยไม้ จะมีกิจกรรมในเวลากลางคืน ดังนั้นหากเราให้ปุ๋ยในเวลาเย็นหรือดึก เชื้อราเหล่านั้นจะนำปุ๋ยไปเป็นอาหารด้วยเช่นเดียวกันและการให้ปุ๋ยในเวลาเช้า โดยเฉพาะในเวลาที่มีแสงแดดอ่อนๆ จะทำให้กล้วยไม้นำปุ๋ยไปใช้ประโยชน์ควบคู่ไปกับขบวนการสังเคราะห์แสงได้อย่างมีประสิทธิภาพและได้ผลสูงสุด<br /><br />ความถี่ในการให้ปุ๋ยนั้นคือทุกๆ 7 วัน เป็นมาตรฐาน เราต้องรักษาเวลาความถี่ทุกๆ 7 วันนี้ไว้ให้ดี หากวันไหนเรายุ่งหรือฝนตกไม่สามารถฉีดปุ๋ยได้ เราก็เลื่อนออกไปและเมื่อเรื่มฉีดปุ๋ยใหม่ ก็ให้นับปอีก 7 วัน สำหรับการฉีดครั้งต่อไป การรักษาระยะเวลาทุกๆ 7 วัน นี้มีความสำคัญมากเพราะเราฉีดปุ๋ยในอัตราส่วนตามที่สลากระบุเขาคำนวนมาแล้ว สำหรับทุก 7 วัน เราต้องปฎิบัติตามนั้น<br /><br />หวังว่าทุกท่านคงได้รายละเอียดเพิ่มเติมสำหรับเทคนิคการให้ปุ๋ยกล้วยไม้ ฉีดพ่นเป็นฝอยละเอียด ทุก 7 วัน เวลาเช้า ผสมให้ได้สัดส่วนตามสลาก ผสมอ่อนไปไม่มีอันตราย แต่ผสมแก่ไปจะเป็นอันตรายกับกล้วยไม้ได้ในระยะยาว ใช้ปุ๋ยสูตรเสมอเป็นมาตรฐาน ขอให้ละลายน้ำได้สมบูรณ์ก็แล้วกัน กล้วยไม้จะได้งามอ้วนสมบูรณ์ครับ<br /><br />สนันสนุนโดย คู่มหัศจรรย์ ช้อนเงิน-ช้อนทอง<br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiVWAPaIiHnmKFkVRf0aehRe4PtpJPm5j86ku4RQToncd4CJCBWtxJemYKr5UOaz_FDYolazCncUngrR2znlNF6E2EwurY_8wKuaPw7Sm6s0olokaakigBYHbx3A4sy_bek6mkckPrih3I/s1600-h/%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B9%884.jpg"><img style="cursor:pointer; cursor:hand;width: 150px; height: 167px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiVWAPaIiHnmKFkVRf0aehRe4PtpJPm5j86ku4RQToncd4CJCBWtxJemYKr5UOaz_FDYolazCncUngrR2znlNF6E2EwurY_8wKuaPw7Sm6s0olokaakigBYHbx3A4sy_bek6mkckPrih3I/s320/%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B9%884.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5378970932974768882" /></a>ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพhttp://www.blogger.com/profile/05782375648581338254noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3403432111914106980.post-9729799035644069222009-09-08T12:16:00.006+07:002009-09-08T12:23:23.925+07:00#@#รายการปุ๋ยและยา สำหรับกล้วยไม้ ชวนชม ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ #@##@#รายการปุ๋ยและยา สำหรับกล้วยไม้ ชวนชม ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ #@#<br /><br />รายการปุ๋ยยาของชมรมแนวทางชีวภาพคุณภาพสูง ใช้แล้วได้ผลดีเป็นที่น่าพอใจ ได้ผล 100% ผลิตและควบคุมโดยนักจุลชีววิทยาและนักโรคพืช มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ <br /><br />##สินค้าทุกอย่างได้พิสูจน์จากผู้เชี่ยวชาญด้านกล้วยไม้และชวนชมแล้วว่าได้ผลดีจริง<br /><br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgfG4IGISzF9yZcNiCBi-lUQq8BlvfDXNilWEgc54viah0B3TJ7hGyoLG5Y2RxZZnekBVSggKE7SqZJIMXVi7nrryh_Zl-V9Xzvqz_jg7rjk1zTFJarscvEwbC9B3PiyoTZmcYs4mz7JFo/s1600-h/00102_3.jpg"><img style="cursor:pointer; cursor:hand;width: 200px; height: 298px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgfG4IGISzF9yZcNiCBi-lUQq8BlvfDXNilWEgc54viah0B3TJ7hGyoLG5Y2RxZZnekBVSggKE7SqZJIMXVi7nrryh_Zl-V9Xzvqz_jg7rjk1zTFJarscvEwbC9B3PiyoTZmcYs4mz7JFo/s320/00102_3.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5378962083588702226" /></a><br /><strong>โคโค-แม็กซ์</strong><br />ผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีชีวภาพ ป้องกันกำจัดโรคพืช ที่เกิดจากเชื้อราและแบคทีเรีย <br /><br />- สามารถป้องกันกำจัดโรคที่เกิดจากเชื้อราและแบคทีเรียได้ทุกชนิด เช่นโรคใบจุด ใบไหม้ โรคเน่า โคนเน่า โรครากเน่า โรคราดำ โรคราน้ำค้าง โรคราแป้ง โรคใบฉ่ำน้ำ โรคแอนแทรคโนส ฯลฯ<br />- ปลอดภัยต่อคน สัตว์ ปลาและสิ่งแวดล้อม ผลิตและควนคุมโดยนักจุลชีววิทยาและนักโรคพืช มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์<br />- ป้องกันกำจัดโรคที่เกิดจากเชื้อราและแบคทีเรียได้ผล 100 %<br /><br />อัตราการใช้ 1 ช้อนโต๊ะ(20 กรัม) ต่อน้ำ 5 ลิตร แช่ทิ้งไว้ 1 ชั่วโมง ฉีดพ่นตอนเย็น ทุก 3-5 วัน กรณีระบาดมาก หรือ 7-15 วันกรณีป้องกัน<br /><br />*** เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดไม่ควรใช้ร่วมกับสารเคมีกำจัดเชื้อราและแบคทีเรีย<br />*ขนาด 1 กิโลกรัม ราคา 450 บาท และขนาด 0.5 กิโลกรัม ราคา 290 บาท<br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh3yy8gOXhB_4jxH86JzxAxHj8R7EtjpMNGWFrBIW_kklEvtpc9E8rs6qD20H1lE-87cjCA4dx14njbNcWZygwa_bh7nXMFgpYuGoWjwlnzHUD6qheJZM-3t4TxoHpFuDIv2ZmiMYpLQC0/s1600-h/%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B9%884.jpg"><img style="cursor:pointer; cursor:hand;width: 150px; height: 167px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh3yy8gOXhB_4jxH86JzxAxHj8R7EtjpMNGWFrBIW_kklEvtpc9E8rs6qD20H1lE-87cjCA4dx14njbNcWZygwa_bh7nXMFgpYuGoWjwlnzHUD6qheJZM-3t4TxoHpFuDIv2ZmiMYpLQC0/s320/%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B9%884.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5378962221820330466" /></a><br /><br /><strong>คู่มหัศจรรย์ ช้อนเงิน-ช้อนทอง</strong><br /><br />ผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีชีวภาพ สำหรับ กล้วยไม้ ชวนชม และไม้ดอกไม้ประดับ<br /><br />- กระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันและต้านทานโรคพืชที่มีสาเหตุมาจากเชื้อรา และแบคทีเรีย<br />- มีสารสกัดชีวภาพเอมไซน์ผสม เร่งเติบโต<br />- กระตุ้นราก เร่งดอก เปิดตาหน่อ เปิดตาดอก ดอกดก สีสวยสด บานทน<br />- เร่งการเจริญเติบโต ลดระยะเวลาเพาะปลูก<br />- อุดมด้วยธาตุอาหาร ฮอร์โมน และกรดอะมิโนแอซิดและวิตามินจึงไม่จำเป็นต้องใช้ฮอร์โมน สารเร่งราก หรืออาหารเสริมใดๆ อีก<br />- ปลอดภัยต่อคน สัตว์ ปลาและสิ่งแวดล้อม<br />- คู่มหัศจรรย์ช้อนเงิน-ช้อนทอง ไม่ต้องผสมสารจับใบ ยาฆ่าเชื้อรา ฮอร์โมนและอาหารเสริมใดๆ ทั้งสิ้น<br /><br />อัตราการใช้ ช้อนเงิน 5 ซีซีและช้อนทอง 5 ซีซี ต่อน้ำ 10 ลิตร ฉีดพ่นช่วงเช้ามีแดด(ช่วงมีแดดคือช่วงปากใบพืชเปิด) ทุก 7-15 วัน *** เขย่าขวดแรงๆ ก่อนใช้<br /><br /><strong> ปุ๋ยเต็มสูตร สำหรับกล้วยไม้</strong><br /><br /> ราคาคู่ละ 200 บาท (ขวดละ 250 ซีซี) <br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj4hG1iWF2yE1PZZuN6xzA5AWwRcoqPmKsXcF9c-TLdqZE9iz3Gf0DrhrRAO1EUJ51_y4xvECAJLX2lB3ZGhk3aRgGszG84oc2QgrAN5nR8xsUms4Uv0afsChz1MFVCv4k54nH57_jGIkY/s1600-h/%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2.jpg"><img style="cursor:pointer; cursor:hand;width: 234px; height: 317px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj4hG1iWF2yE1PZZuN6xzA5AWwRcoqPmKsXcF9c-TLdqZE9iz3Gf0DrhrRAO1EUJ51_y4xvECAJLX2lB3ZGhk3aRgGszG84oc2QgrAN5nR8xsUms4Uv0afsChz1MFVCv4k54nH57_jGIkY/s320/%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5378962525796825346" /></a><br /><strong>ลาเซียน่า</strong><br />ผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีชีวภาพชนิดผง กำจัดเพลี๊ยทุกชนิด ไรแดง แมลงหวี่ขาว ได้ผล 100 % <br /><br />- ประกอบด้วย เชื้อราบลูวาเรีย บาสเซียน่า และเมธาไรเซี่ยม แอนิโซเฟีย<br />- สามารถกำจัดเพลี๊ย แมลง ได้ 100 % ได้ผลดีกว่า O-BAC<br />- สามารถกำจัด เพลี๊ยอ่อน เพลี๊ยไฟ ไรแดง แมลงหวี่ขาว เพลี๊ยกระโดด เพลี๊ยจั๊กจั่น หนอนกอ หนอนห่อใบ แมลงสิง แมลงเหล่า ด้วงหมัดผัก ทั้งช่วงตัวอ่อนและวัยแก่<br />- ไม่ควรใช้หัวเชื้อลาเซียน่า ร่วมกับ โคโค-แม็กซ์ ควรฉีดพ่นห่างกันอย่างน้อย 2 วัน<br />- ควรฉีดพ่นให้โดนตัวแมลงศัตรูพืชจะเป็นผลดี<br />อัตราการใช้ 1 ช้อนโต๊ะ(20 กรัม) ต่อน้ำ 5 ลิตร เติมน้ำยาจับใบหรือซันไลท์ แล้วกวนผสมให้เข้ากัน ฉีดพ่นช่วงเย็น ให้ชุ่มทุก 3-5 วัน กรณีระบาดมาก หรือ 7-15 วันกรณีป้องกัน<br /> <br /> กำจัดเพลี๊ยและศัตรูพืช 100 %<br />*ขนาดถุงละ 0.5 กิโลกรัม ราคา 300 บาท <br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhsnkGUw4jNVxLOIv-y0pnzGg8o9ZsYtIEk_bQVGdgJjl7PKmTF-Uxu-tEUT3zDsbqlw9TaX7XRNYGzm237eQWkI-SCeIHLMj99YtABZmTnt39mXbz86oZhe_ow-9rjeMM8wvmvCDXe7tk/s1600-h/bt.jpg"><img style="cursor:pointer; cursor:hand;width: 199px; height: 293px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhsnkGUw4jNVxLOIv-y0pnzGg8o9ZsYtIEk_bQVGdgJjl7PKmTF-Uxu-tEUT3zDsbqlw9TaX7XRNYGzm237eQWkI-SCeIHLMj99YtABZmTnt39mXbz86oZhe_ow-9rjeMM8wvmvCDXe7tk/s320/bt.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5378962807624521154" /></a><br /><br /><strong>BT-GOLD (บีที-โกลล์)</strong> <br /><br />ผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีชีวภาพชนิดผง กำจัดหนอน ได้ผล 100 % <br /><br />ลักษณะของหนอนที่ได้รับเชื้อ<br />- หยุดการกินอาหารคือใบพืช<br />- เคลื่อนไหวตัวช้าลงมีอาการสลึมสลือ<br />-โลหิตเป็นพิษ ชักกระตุกและเป็นอัมพาตทั้งตัว<br />-ตายบนใบและห้อยตัวตาย แล้วซากของหนอนยังคงรูปเดิม แต่เปลี่ยนสีจากสีเดิมเป็นสีน้ำตาลและสีดำ<br /><br />อัตราการใช้ 1 ช้อนโต๊ะ/น้ำ 5 ลิตร ฉีดพ่นให้ทั่วทุกส่วนของพืชจนเปียกชุ่ม(โดนตัวหนอนจะดีมาก) ให้ฉีดพ่นในตอนเย็น ให้รดน้ำก่อนฉีดพ่นทุกครั้ง<br /><br /> กำจัดหนอนทุกชนิดได้ผล 100 %<br /><br />** ถุงละ 0.5 กิโลกรัม ราคา 200 บาท<br /><br /><br /><br /><br />ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ <br /><br />โทร.087-2126507,056-912218 <br /><br />อีเมลล์. tanatporns@gmail.comชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพhttp://www.blogger.com/profile/05782375648581338254noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3403432111914106980.post-25239215612816011412009-07-15T23:22:00.003+07:002009-07-15T23:28:01.989+07:00การปลูกกล้วยไม้บนพื้นดิน<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgdq4QQbsH4MYOz3Cv1N5qeH-WqyyPCq_tSCMrApqmtzn7r4Vs2hDmr0-DDGlJtrkN1RahkzWQfvmBXcLXwgtZATjYrH7-uRMTGOUar-yzohIgWk2iGHwLU7ixjnlmsaeJVc7RgLWGqNAY/s1600-h/Orchid.jpg"><img style="cursor:pointer; cursor:hand;width: 274px; height: 320px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgdq4QQbsH4MYOz3Cv1N5qeH-WqyyPCq_tSCMrApqmtzn7r4Vs2hDmr0-DDGlJtrkN1RahkzWQfvmBXcLXwgtZATjYrH7-uRMTGOUar-yzohIgWk2iGHwLU7ixjnlmsaeJVc7RgLWGqNAY/s320/Orchid.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5358724471826586882" /></a><br /><br />หากเป็นกล้วยไม้ซึ่งตามธรรมชาติพบขึ้นอยู่บนพื้นดิน เท่าที่มีประสบการณ์มาแล้วจากการปฏิบัติ ถ้าเป็นกล้วยไม้ซึ่งมีหัวอยู่ใต้พื้นผิวดินจะมีนิสัยผลัดใบในช่วงฤดูแล้งและ อีกกลุ่มหนึ่งจะให้ดอกในฤดูแล้งซึ่งอยู่ระหว่างทิ้งใบหมด เช่น ชนิดต่างๆ ในสกุลยูโลเฟีย (Eulophia) อีกกลุ่มหนึ่งให้ดอกช่วงกลางฤดูฝน ที่ส่วนต้นและใบเจริญเติบโตพ้นพื้นดินแล้ว เช่นชนิดต่างๆ ในสกุลเพคไทลิส และ ฮาเบนาเรีย (Pecteilis and Habenaria) หรือภาษาไทยเรียกว่า นางอั้ว นางกราย ท้าวคูลู ซึ่งเป็นชื่อในวรรณคดีไทยเรื่องหนึ่ง<br /><br />โดยเฉพาะกล้วยไม้ดิน ที่ช่วงฤดูแล้งจะไม่ปรากฏส่วนใดบนผิวดินให้เห็นเลย ขณะที่กลุ่มแรกในฤดูฝนเราจะเห็นใบสีเขียวสด และเมื่อถึงช่วงฤดูแล้ง เราจะไม่เห็นใบแต่จะเปลี่ยนเป็นเห็นช่อดอกแทน ถ้าปลูกรวมกันเป็นกลุ่มจะสะท้อนให้เห็นภาพของดอกที่ออกมาปกคลุมผิวดินอย่าง หนาแน่น แต่กรณีของเอื้องพร้าว ในฤดูแล้งจะเห็นทั้งใบและช่อดอกยาวๆ<br />ดังนั้น การปลูกกล้วยไม้ซึ่งมีธรรมชาติขึ้นอยู่บนพื้นดิน จึงควรพิจารณาหลายแง่มุม เช่น การปลูกในสวนพฤกษศาสตร์ เพื่อวัตถุประสงค์ในด้านการศึกษาค้นคว้า หากมีการส่งเสริมให้ผู้มาชมได้รับความรู้ด้วยก็คงใช้ศิลปะการตกแต่งเลียนแบบ ธรรมชาติเพื่อความสวยงามร่วมด้วย<br /><br />ส่วนการปลูกปฏิบัติก่อนอื่นควรพิจารณาพื้นดินซึ่งเป็นฐานการปลูก ให้มีความเหมาะสมชัดเจนเสียก่อน เพราะกล้วยไม้ในกลุ่มที่พบขึ้นบนพื้นดินพวกหนึ่งอาศัยดินโดยตรงโดยเฉพาะชนิด ซึ่งมีหัวอยู่ใต้ดิน<br />อีกพวกหนึ่งขึ้นอยู่บนพื้นผิวดินที่หยั่งรากลงบนชั้นของใบไม้ผุ ซึ่งตกทับถมอยู่บนพื้นค่อนข้างหนา แม้พวกที่ขึ้นอยู่ตามซอกหินเช่นกัน การพิจารณาสิ่งเหล่านี้ให้ละเอียดรอบคอบจะช่วยให้สามารถตัดสินใจในการปลูก ปฏิบัติได้ใกล้เคียงกับความต้องการ อันเป็นธรรมชาติของกล้วยไม้แต่ละชนิดให้มากที่สุด ดังนั้นการศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับลักษณะและนิสัยอันถือเป็นธรรมชาติของกล้วย ไม้แต่ละสกุลแต่ละชนิด จึงเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ<br /><br />อนึ่ง การนำกล้วยไม้มาปลูกเลียนแบบธรรมชาติ หากหวังผลสำเร็จในระยะยาวด้วย ไม่ว่าจะใช้กล้วยไม้พันธุ์ธรรมชาติหรือพันธุ์ผสม ควรเริ่มต้นจากขนาดรุ่นๆ แทนที่จะนำเอาต้นขนาดใหญ่และมีอายุมากพอสมควรมาปลูก<br />ทั้งนี้ เนื่องจากต้นขนาดรุ่นๆ มีความแข็งแรงและมีพลังในการเจริญเติบโตสูงกว่า <br /><br />ที่มา:http://news.enterfarm.com/content/ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพhttp://www.blogger.com/profile/05782375648581338254noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3403432111914106980.post-36066820837677622592009-07-13T17:18:00.004+07:002009-07-13T17:25:47.813+07:00วิธีการปลูกกล้วยไม้<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj5-h_CyutlJLhrBLsTd0xZE0vRg1s2ZHfFfpI0kx_M4zpZ86MFN95ZklsEMEiJkpS93vbHtGGoaEvA9LkIIUpXDwVGoeSGmd4udpnic2l9plNBrqTz0VFzSS1XsbRLZ-2kynT29tbh3tc/s1600-h/%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B2.jpg"><img style="cursor:pointer; cursor:hand;width: 320px; height: 294px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj5-h_CyutlJLhrBLsTd0xZE0vRg1s2ZHfFfpI0kx_M4zpZ86MFN95ZklsEMEiJkpS93vbHtGGoaEvA9LkIIUpXDwVGoeSGmd4udpnic2l9plNBrqTz0VFzSS1XsbRLZ-2kynT29tbh3tc/s320/%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B2.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5357888908481879474" /></a><br /><br />วิธีการปลูกเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยบังคับการเจริญเติบโตของกล้วยไม้ ถ้าใช้วิธีการปลูกที่ไม่เหมาะสม กล้วยไม้ก็ไม่เจริญงอกงามเท่าที่ควร ดังนั้นผู้ปลูกเลี้ยงกล้วยไม้จึงจำเป็นต้องศึกษาความต้องการของกล้วยไม้แต่ละชนิด เลือกภาชนะปลูกและเครื่องปลูก รวมทั้งวิธีการปลูกให้เหมาะสมกับกล้วยไม้ชนิดนั้นๆ <br /><br /><strong>ภาชนะปลูก </strong>ภาชนะที่ใช้ในการปลูกกล้วยไม้มีส่วนสำคัญต่อการเจริญงอกงามของกล้วยไม้ ดังนั้นจึงควรจัดภาชนะปลูกให้เหมาะกับการเจริญของรากกล้วยไม้แต่ละประเภท ภาชนะสำหรับปลูกกล้วยไม้มีหลายชนิด ดังนี้ <br /><br /><strong>กระถางดินเผาทรงเตี้ย</strong> เป็นกระถางดินเผาขนาดปากกว้าง 4-6 นิ้ว สูง 2-4 นิ้ว เจาะรูที่ก้นและรอบกระถาง เหมาะกับกล้วยไม้รากอากาศ เช่น กล้วยไม้สกุลแวนด้า สกุลเข็ม สกุลกุหลาบ สกุลช้าง การปลูกไม่จำเป็นต้องใส่เครื่องปลูกใดๆ หรืออาจใส่ถ่านไม้ มะพร้าวสับ วางให้โปร่งก็พอ วางต้นกล้วยไม้กลางกระถางแล้วใช้เชือกหรือลวดเส้นเล็กๆ ผูกติดกับก้นกระถาง <br /><br /><strong>กระถางดินเผาทรงสูง</strong> เป็นกระถางดินเผาขนาดปากกว้าง 3-4 นิ้ว สูง 4-5 นิ้ว เจาะรูที่ก้นและรอบกระถางแต่รูน้อยกว่ากระถางทรงเตี้ย เหมาะกับกล้วยไม้ที่ต้องการเครื่องปลูกหรือกล้วยไม้รากกึ่งอากาศ เช่น คัทลียา หวาย โดยปลูกด้วยกาบมะพร้าวอัดเรียงตามแนวตั้งจนแน่น ยึดรากและโคนกล้วยไม้ตรงกลางกระถางให้แน่น <br /><br /><strong>กระเช้าไม้สัก</strong> ทำจากไม้สักหรือไม้ชนิดอื่น นิยมทำเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส มีขนาดตั้งแต่ขนาด 4x4 นิ้ว ถึง 10x10 นิ้ว เหมาะกับกล้วยไม้รากอากาศ มีต้นใหญ่ รากใหญ่ เช่น กล้วยไม้สกุลแวนด้า สกุลเข็ม สกุลกุหลาบ สกุลช้าง การปลูกด้วยกระเช้าไม้สักภายในไม่จำเป็นต้องใส่เครื่องปลูกใดๆ หรืออาจใส่ถ่านไม้ก้อนใหญ่ๆ 2-3 ก้อนวางให้โปร่งก็พอ วางต้นกล้วยไม้กลางกระถางแล้วใช้เชือกหรือลวดเส้นเล็กๆ ผูกติดกับก้นกระเช้า <br /><br /><strong>กระเช้าพลาสติก</strong> เป็นกระเช้าที่ทำจากพลาสติกสีดำ ราคาถูก มีหลายแบบ หลายขนาด แต่ที่นิยมใช้มี 2 ขนาด คือ ขนาดทรงเตี้ยใช้ปลูกกล้วยไม้แวนด้า และ ขนาดทรงสูงใช้ปลูกกล้วยไม้หวาย ลักษณะการปลูกเช่นเดียวกับกระถางดินเผาทรงเตี้ยและกระถางดินเผาทรงสูง <br /><br /><strong>กระถางดินเผามีรูก้นกระถาง </strong>เป็นกระถางดินเผาชนิดเดียวกับที่ใช้ปลูกต้นไม้ทั่วไป มีรูระบายน้ำอยู่ที่ก้นกระถางเพียงรูเดียว ทั้งแบบทรงสูงทั่วไปและแบบทรงเตี้ย มีขนาดตั้งแต่ 4-10 นิ้ว นิยมใช้ปลูกกล้วยไม้ที่มีระบบรากแบบรากกึ่งดิน เช่น กล้วยไม้สกุลรองเท้านารี สกุลเอื้องพร้าว สกุลคูลู และสกุลสเปโธกล๊อตติส <br /><br /><strong>ท่อนไม้ที่มีเปลือก</strong> โดยผูกกล้วยไม้ติดกับท่อนไม้ที่มีเปลือกขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 3-4 นิ้ว ยาวประมาณ 1 ฟุต ปลายหนึ่งของท่อนไม้ยึดติดกับลวดใว้สำหรับแขวนกับราว เหมาะกับกล้วยไม้รากอากาศ เช่น กล้วยไม้สกุลเข็ม สกุลกุหลาบ สกุลช้าง สกุลแวนด้า <br /><br /><strong>ต้นไม้ใหญ่ </strong>โดยการปลูกยึดติดกับต้นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ เหมาะกับกล้วยไม้รากอากาศและรากกึ่งอากาศ เช่น กล้วยไม้สกุลเข็ม สกุลกุหลาบ สกุลช้าง สกุลหวาย สำหรับกล้วยไม้ที่เป็นรากอากาศสามารถใช้ลวดหรือเชือกผูกติดกับต้นไม้ได้เลย แต่สำหรับกล้วยไม้ที่เป็นรากกิ่งอากาศให้หุ้มด้วยกาบกะพร้าวทับอีกชั้นหนึ่ง ยึดกาบมะพร้าวด้วยตาข่ายหรือซาแลนอีกชั้นหนึ่ง <br /><br /><strong>เครื่องปลูก</strong> วัสดุที่ใส่ลงไปในภาชนะที่ใช้ปลูกกล้วยไม้ เป็นที่เก็บอาหาร เก็บความชื้น หรือปุ๋ยของกล้วยไม้ และเพื่อให้รากของกล้วยไม้เกาะ ลำต้นจะได้ตั้งอยู่ได้ เครื่องปลูกที่เหมาะสมกับลักษณะการเจริญเติบโตของรากกล้วยไม้จะทำให้กล้วยไม้เจริญเติบโตได้ดีและแข็งแรง เครื่องปลูกที่นิยมใช้มีดังนี้ <br /><br /><strong>ออสมันด้า</strong> เป็นเครื่องปลูกที่ได้มาจากรากของเฟิร์น ลักษณะเป็นเส้นยาว สีน้ำตาลจนเกือบดำ ค่อนข้างแข็ง ก่อนที่จะใช้ต้องล้างให้สะอาด แล้วจึงอัดตามยาวลงไปในกระถาง ก่อนที่จะอัดลงในกระถางควรรองก้นกระถางด้วยกระเบื้องแตกหรือถ่านประมาณครึ่งหนึ่งของกระถาง เพื่อให้ระบายน้ำได้สะดวกไม่ควรอัดออสมันด้าให้เต็มกระถาง ก่อนใช้ควรแช่น้ำหรือต้มเพื่อฆ่าเชื้อราเสียก่อน ออสมันด้าเป็นเครื่องปลูกที่ดี แต่ราคาค่อนข้างสูง สามารถเลี้ยงกล้วยไม้ได้เจริญงอกงามสม่ำเสมอ มีอายุการใช้งาน 2-3 ปี แต่มีข้อเสีย คือ มีตะไคร่น้ำขึ้นหน้าเครื่องปลูก และเกิดเชื้อราง่าย ออสมันด้าใช้ปลูกกล้วยไม้แบบรากกึ่งอากาศ เช่น กล้วยไม้สกุลหวาย สกุลคัทลียา <br /><br /><strong>กาบมะพร้าว</strong> เป็นเครื่องปลูกที่นิยมใช้ปลูกกล้วยไม้มาก เพราะหาง่าย ราคาถูก เหมาะที่จะใช้อัดลงในกระถางดินเผาสำหรับใช้ปลูกกล้วยไม้รากกึ่งอากาศเช่น กล้วยไม้สกุลหวาย สกุลคัทลียา วิธีทำคือใช้กาบมะพร้าวแห้งที่แก่จัดและมีเปลือก อัดตามยาวให้แน่นลงในกระถาง ตัดหน้าให้เรียบ แล้วใช้แปรงลวดปัดหน้าให้เป็นขน เพื่อให้ดูดซับน้ำดีขึ้น เครื่องปลูกกาบมะพร้าวเป็นเครื่องปลูกที่ได้ความชื้นสูง เหมาะสำหรับกล้วยไม้ปลูกใหม่ เพราะจะทำให้ตั้งตัวเร็ว จึงทำให้กล้วยไม้เจริญงอกงามเร็วกว่าปลูกด้วยเครื่องปลูกชนิดอื่นๆ แต่มีข้อเสียคือมีอายุการใช้งานได้ไม่นาน คือมีอายุใช้งานได้เพียงปีเดียวเครื่องปลูกก็ผุ ข้อเสียอีกอย่างหนึ่งคือเกิดตะไคร่น้ำได้ง่าย เนื่องจากกาบมะพร้าวอมความชื้นไว้ได้มาก จึงควรรดน้ำให้น้อยกว่าเครื่องปลูกชนิดอื่น <br /><br /><strong>ถ่าน </strong> เป็นเครื่องปลูกกล้วยไม้ที่ดีชนิดหนึ่ง เพราะหาง่าย ราคาไม่แพง คงทนถาวร ไม่เน่าเปื่อยผุพังง่ายและดูดอมน้ำได้ดีพอเหมาะไม่ชื้นแฉะเกินไป ยังช่วยดูดกลิ่นที่เน่าเสียและทำให้อากาศบริสุทธ์อีกด้วย แต่มีข้อเสียคือมักจะมีเชื้อราอยู่ ในการใช้ถ่านเป็นเครื่องปลูกกล้วยไม้ ถ้าเป็นกล้วยไม้ที่มีระบบรากแบบรากกึ่งอากาศ เช่น กล้วยไม้สกุลหวาย สกุลแคทลียา ควรใช้ถ่านป่นซึ่งเป็นก้อนเล็กๆ ผสมกับอิฐ หรือใช้อิฐหักรองก้นกระถางประมาณครึ่งกระถาง แล้วใช้ถ่านป่นใส่ทับข้างบนจนเต็มหรือเกือบเต็มกระถาง จากนั้นจึงเอากล้วยไม้ปลูกโดยวางทับไว้บนถ่านอีกชั้นหนึ่ง สำหรับถ่านที่ใช้ปลูกกล้วยไม้ที่มีระบบรากแบบรากอากาศ เช่น กล้วยไม้สกุลแวนด้า สกุลเข็ม สกุลกุหลาบ ถ้าเป็นกล้วยไม้ขนาดเล็กหรือยังเป็นลูกกล้วยไม้อยู่ เช่น มีขนาดสูงไม่เกิน 3 นิ้ว ควรใส่ถ่านก้อนเล็กๆ หรือใส่ถ่านป่นไว้บ้างพอสมควร แต่ถ้าเป็นกล้วยไม้ที่มีขนาดโดแล้วควรใส่ก้อนใหญ่ๆ ไว้ประมาณ 5-10 ก้อน เพื่อช่วยอุ้มความชุ่มชื้นไว้ให้กล้วยไม้ การที่ใส่ถ่านก้อนโตๆ จำนวนเล็กน้อยในการปลูกกล้วยไม้ที่มีระบบรากแบบรากอากาศก็เพื่อต้องการให้บริเวณภายในกระถางมีช่องว่างมากๆ และโปร่งอากาศถ่ายเทได้สะดวก ซึ่งเหมาะแก่ความต้องการหรือความเจริญเติบโตของกล้วยไม้ที่มีระบบรากอากาศ <br /><br /><strong>ทรายหยาบและหินเกล็ด</strong> การปลูกกล้วยไม้ที่มีระบบรากกึ่งอากาศโดยเฉพาะพวกสกุลหวาย มักใช้ทรายหยาบและหินเกล็ดที่ล้างสะอาดแล้วเป็นเครื่องปลูก โดยก้นกระถางใส่อิฐหักหรือหรือถ่านป่นไว้ ส่วนด้านบนใช้ทรายหยาบโรยหนาประมาณ 1 นิ้ว แล้วโรยทับด้วยหินเกล็ดหนาประมาณครึ่งนิ้ว จากนั้นจึงนำหน่อกล้วยไม้ที่แยกจากกอเดิมไปปลูกวางไว้บนหินเกล็ด แล้วมัดติดกับหลักเพื่อยึดไม่ให้ล้มจนกว่ากล้วยไม้ที่ปลูกใหม่นี้มีรากยึดเครื่องปลูกและตั้งตัวได้ <br /><br /><strong>อิฐหักและกระถางดินเผาแตก</strong> อิฐหัก อิฐดินเผา และกระถางดินเผาแตก ใช้เป็นเครื่องปลูกรองก้นกระถางสำหรับปลูกกล้วยไม้ที่มีระบบรากกึ่งอากาศ โดยมีออสมันด้า กาบมะพร้าว ถ่านป่น อย่างใดอย่างหนึ่งอัดหรือโรยไว้ข้างบน เพื่อให้ด้านล่างของกระถางหรือภาชนะปลูกโปร่ง อากาศถ่ายเทสะดวกและเป็นการช่วยในการระบายน้ำในกระถางได้ดีขึ้น <br /><br /><strong>วิธีการปลูก </strong><br /><br /><strong>การล้างลูกกล้วยไม้</strong> คือการล้างลูกกล้วยไม้จากการเพาะเนื้อเยื่อออกจากขวดเพาะแล้วล้างให้หมดเศษวุ้นอาหาร นำจุ่มลงในน้ำยานาตริฟินในอัตราส่วนน้ำยา 1 ส่วนต่อน้ำสะอาด 2,000 ส่วน แล้วนำไปผึ่งให้แห้งในที่ร่ม แยกลูกกล้วยไม้ออกเป็น 2 ขนาด คือ ขนาดเล็กกับขนาดใหญ่พอจะปลูกลงในกระถางนิ้ว <br /><br /><strong>การปลูกลูกกล้วยไม้ขนาดเล็ก</strong> ลูกกล้วยไม้ขนาดเล็กให้ปลูกในกระถางหมู่หรือกระถางดินเผาทรงสูงขนาด 4-6 นิ้ว รองก้นกระถางด้วยถ่านขนาดประมาณ 1 นิ้ว สูงจนเกือบถึงขอบล่างของกระถาง แล้วโรยทับด้วยออสมันด้าหนาประมาณ 1 นิ้ว ให้ระดับออสมันด้าต่ำกว่าขอบกระถางประมาณครึ่งนิ้ว ใช้มือข้างหนึ่งจับไม้กลมๆ เจาะผิวหน้าออสมันด้าในกระถางให้เป็นรูลึกและกว้างพอสมควร ใช้มืออีกข้างหนึ่งจับปากคีบ คีบลูกกล้วยเบาๆ เอารากหย่อนลงไปในรูที่เจาะไว้ ให้ยอดตั้งตรง แล้วกลบออสมันด้าลงไปในรูให้ทับรากจนเรียบร้อย ควรจัดระยะห่างระหว่างต้นให้พอดี กระถางหมู่ขนาดปากกว้าง 4 นิ้ว ปลูกลูกกล้วยไม้ได้ประมาณ 40-50 ต้น <br /><br /><strong>การปลูกลูกกล้วยไม้ขนาดใหญ่</strong> ลูกกล้วยไม้ที่ต้นใหญ่ให้ปลูกในกระถางขนาด 1 นิ้ว ใช้ไม้แข็งๆ ค่อยๆ แคะออสมันด้าในกระถางตามแนวตั้งออกมาใช้นิ้วมือรัดเส้นออสมันด้าให้คงเป็นรูปตามเดิม ค่อยๆ แบะออสมันด้าให้แผ่บนฝ่ามือ หยิบลูกกล้วยไม้มาวางทับ ให้โคนต้นอยู่ในระดับผิวหน้าตัดของออสมันด้าพอดี หรือต่ำกว่าเล็กน้อย แล้วรวบออสมันด้าเข้าด้วยกัน นำกลับไปใส่กระถางตามเดิม เสร็จแล้วนำเข้าไปเก็บไว้ในเรือนเลี้ยงลูกกล้วยไม้ สำหรับลูกกล้วยไม้ขนาดเล็กที่อยู่ในกระถางหมู่มาเป็นระยะเวลาประมาณ 6 เดือนขึ้นไป มีลำต้นใหญ่แข็งแรงพอสมควรแล้วควรย้ายไปปลูกลงในกระถางนิ้ว โดยนำกระถางหมู่ไปแช่น้ำประมาณ 10 นาที ค่อยๆ แกะรากที่จับกระถางและเครื่องปลูกออก แยกเป็นต้นๆ นำไปปลูกลงในกระถางนิ้วเช่นเดียวกัน <br /><br /><strong>การปลูกลงในกระเช้า</strong> เมื่อลูกกล้วยไม้ในกระถางนิ้วมีรากเจริญแข็งแรงดี มีใบยาวประมาณข้างละ 2 นิ้ว ซึ่งจะใช้เวลาในการปลูกประมาณ 6-7 เดือน ก็นำไปลงปลูกในกระเช้าไม้ขนาด 3-5 นิ้ว ด้วยการนำกระถางนิ้วไปแช่น้ำประมาณ 5-10 นาที เพื่อให้แกะออกจากกระถางได้ง่าย ใช้นิ้วดันที่รูก้นกระถาง ทั้งต้นและออสมันด้าจะหลุดออกมา มือข้างหนึ่งจับออสมันด้าและลูกกล้วยไม้วางลงตรงกลางกระเช้าที่เตรียมไว้ มืออีกข้างหนึ่งหยิบก้อนถ่านไม้ขนาดพอเหมาะใส่ลงไปในช่องระหว่างออสมันด้ากับผนังของกระเช้าให้พยุงลำต้นได้ นำไปแขวนไว้ในเรือนกล้วยไม้ <br /><br /><strong>การย้ายภาชนะปลูก </strong> เมื่อลูกกล้วยไม้มีใบยาว 4-5 นิ้ว ควรจะย้ายไปปลูกในกระเช้าไม้ขนาด 8-10 นิ้ว โดยสวมกระเช้าเดิมลงไปในกระเช้าใหม่เพื่อมิให้รากกระทบกระเทือน ใช้ก้อนถ่านไม้ก้อนใหญ่ๆ วางเกยกันโปร่งๆ หรือจะไม่ใช้เลยก็ได้ เนื่องจากกล้วยไม้ไม่ต้องการเครื่องปลูกที่แน่นและชื้นแฉะเป็นเวลานานๆ ถ้าไม่ต้องการสวมกระเช้าเดิมลงไปก็นำกระเช้าเดิมไปแช่น้ำก่อน เพื่อให้แกะรากที่จับติดกระเช้าออกได้ง่าย นำต้นที่แกะออกแล้ววางตรงกลางกระเช้า ให้ยอดตั้งตรง มัดรากบางรากให้ติดกับซี่พื้นด้านข้างของกระเช้า <br /><br /><strong>การตกแต่งกล้วยไม้ต้นใหญ่ก่อนปลูก</strong> สำหรับกล้วยไม้ลำต้นใหญ่ที่ได้มาจากที่อื่นหรือจากการแยกหน่อ จะต้องตัดรากและใบที่เน่าหรือเป็นแผลใหญ่ๆ ทิ้งเสียก่อน รากบางส่วนที่ยังดีแต่ยาวเกินไป อาจตัดให้สั้นจนเกือบถึงโคนต้น แล้วทาแผลที่ตัดทุกแผลด้วยปูนแดงหรือยาป้องกันโรค เช่น ออร์โธไซด์ 50 ผสมน้ำให้เละมากๆ นำต้นกล้วยไม้ลงปลูกในกระเช้าไม้ซึ่งมีขนาดเหมาะสมกับลำต้น <br /><br />นอกจากนั้นยังอาจนำกล้วยไม้ต้นใหญ่ไปผูกติดกับท่อนไม้หรือกระเช้าสีดา ให้บริเวณโคนต้นติดอยู่กับภาชนะปลูก ส่วนยอดอาจตั้งตรงทาบขึ้นไปหรือลำต้นโน้มไปข้างหน้าและส่วนยอดเงยขึ้น มัดลำต้นตรงบริเวณเหนือโคนต้นขึ้นไปเล็กน้อยให้ติดกับภาชนะปลูกด้วยเชือกฟางหรือลวด 1-2 จุดและมัดรากใหญ่ๆ ให้ติดกับภาชนะปลูกอีก 1-2 จุด เพื่อให้ติดแน่น อาจใช้กาบมะพร้าวกาบอ่อนชุบน้ำให้ชุ่ม มัดหุ้มบางๆ รอบโคนต้นกล้วยไม้เหนือบริเวณที่เกิดรากเล็กน้อยกับท่อนไม้ก็ได้ และนำท่อนไม้หรือกระเช้าสีดาไปแขวนบนราวเมื่อเกิดรากใหม่เกาะติดภาชนะปลูกดีแล้ว จึงตัดเชือกฟางหรือลวดออกชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพhttp://www.blogger.com/profile/05782375648581338254noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3403432111914106980.post-28808896643743920462009-07-13T17:13:00.002+07:002009-07-13T17:18:07.441+07:00การให้น้ำกล้วยไม้<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhl9KaOMYimlJWhPJKM70SmjLhEvtvqoYJnEjCcZVuyihG8ROiZ2DPdpDqpcMLdgX-9hxxSNO8KUW8z6eUbvPoT4Chvw0UdYgJh2CnCjuXKLVJ4sov5GDjCr90W0IB3Ths-W4KaPmeN0DA/s1600-h/%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3.jpg"><img style="cursor:pointer; cursor:hand;width: 320px; height: 242px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhl9KaOMYimlJWhPJKM70SmjLhEvtvqoYJnEjCcZVuyihG8ROiZ2DPdpDqpcMLdgX-9hxxSNO8KUW8z6eUbvPoT4Chvw0UdYgJh2CnCjuXKLVJ4sov5GDjCr90W0IB3Ths-W4KaPmeN0DA/s320/%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5357886987601238354" /></a><br /><br /><strong>การให้น้ำและปุ๋ย</strong><br /><br />น้ำ มีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตของกล้วยไม้ เนื่องจากน้ำเป็นตัวทำละลายสารอาหารต่างๆ เพื่อให้รากของกล้วยไม้สามารถดูดอาหารไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ได้ กล้วยไม้ต้องการน้ำที่สะอาดปราศจากเกลือแร่ที่เป็นพิษ มีความเป็นกรดเป็นด่างหรือค่า pH อยู่ระหว่าง 6-7 แต่น้ำที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุดต่อความต้องการของกล้วยไม้ คือ น้ำสะอาดบริสุทธิ์ที่มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ มีค่า pH ประมาณ 6.5 น้ำที่มี pH ต่ำกว่า 5.5 หรือสูงกว่า 7 จึงไม่ควรนำมาใช้รดกล้วยไม้ การทดสอบคุณสมบัติความเป็นกรดเป็นด่างของน้ำแบบง่ายๆ คือ ทดสอบด้วยกระดาษลิสมัส ในการเลี้ยงกล้วยไม้ถ้าน้ำมี pH ต่ำกว่า 5.5 หรือสูงกว่า 7 หากมีความจำเป็นต้องใช้น้ำนี้รดกล้วยไม้ เนื่องจากไม่สามารถหาน้ำที่มีคุณสมบัติดีกว่า ควรทำให้น้ำมี pH อยู่ระหว่าง 6-7 ก่อน ดังนี้ <br />น้ำที่มีค่า pH ต่ำกว่า 5.5 คือน้ำมีฤทธิ์เป็นกรดค่อนข้างมาก แก้ไขโดยตักน้ำใส่ภาชนะ เช่น ตุ่มหรือโอ่งไว้แล้วใช้ โซเดียมไฮดร็อกไซด์ ค่อยๆ เทใส่ลงไป แล้วคนให้เข้ากันจนทั่ว ทำการทดสอบระดับ pH จนกระทั่งน้ำมีค่า pH อยู่ระหว่าง 6-7 <br />น้ำที่มีค่า pH สูงกว่า 7 คือน้ำที่มีเกลือแร่ที่เป็นพิษต่อกล้วยไม้ เช่น แคลเซียมไบคาร์บอเนตปนอยู่ในน้ำแสดงว่าน้ำนั้นมีความเป็นด่างมากไม่เหมาะที่จะนำไปรดกล้วยไม้ วิธีแก้หรือทำให้น้ำนั้นมี pH อยู่ที่ 6-7 ก่อน โดยตักน้ำใส่ภาชนะ เช่น ถัง ตุ่มหรือโอ่งไว้ แล้วใช้ กรดไนตริก ค่อยๆ เทใส่ลงไป คนหรือกวนให้เข้ากันจนทั่ว จนกระทั่งน้ำมีค่า pH อยู่ระหว่าง 6-7<br /> <br /><br /><strong>การให้น้ำ </strong><br /><br />วิธีการให้น้ำกล้วยไม้สามารถทำได้หลายวิธี จะเลือกใช้วิธีใดขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่ อายุของกล้วยไม้ และความสะดวกของผู้ปลูกเลี้ยงเอง ซึ่งวิธีการให้น้ำมีดังนี้ <br />จุ่มน้ำ โดยตักน้ำใส่ภาชนะแล้วนำกล้วยไม้มาจุ่มลงในน้ำ การจุ่มน้ำมีข้อดีคือน้ำจะซึมไปทั่วทุกส่วนของเครื่องปลูก เหมาะกับกล้วยไม้ที่ไม่มีรากเกะกะ เช่น สกุลหวาย สกุลแคทลียา มีเครื่องปลูกแน่น เช่น กาบมะพร้าวอัด ออสมันด้าอัด หรือเครื่องปลูกหนัก เช่น อิฐ กรวด ถ้าเครื่องปลูกเบา เช่น ถ่าน ถ่านจะลอย การรดน้ำวิธีนี้เป็นการล้างเครื่องปลูกให้สะอาดอยู่เสมออีกด้วย ข้อเสียคือการจุ่มน้ำบ่อยๆ อาจทำให้ รากอ่อน หน่ออ่อน ไปกระทบกระแทกกับภาชนะที่ใส่น้ำได้ และถ้ากล้วยไม้มีโรคแมลงอาศัยอยู่ น้ำในภาชนะอาจเป็นพาหะให้โรคแมลงระบาดได้ง่าย และการให้น้ำวิธีนี้ไม่เหมาะกับปริมาณกล้วยไม้มากๆ เพราะเป็นวิธีที่ช้ามาก เหมาะกับกล้วยไม้จำนวนน้อย และปลูกเลี้ยงในที่ไม่ต้องการให้พื้นเฉอะแฉะ เช่นระเบียงบ้าน ริมหน้าต่าง เป็นต้น <br />ไขน้ำให้ท่วม โดยทำโต๊ะปลูกกล้วยไม้ที่ขังน้ำได้ เวลาจะให้น้ำก็ไขน้ำให้ขังเต็มโต๊ะ ทิ้งไว้จนเห็นว่าเครื่องปลูกดูดซับน้ำเพียงพอแล้วจึงไขน้ำออก วิธีนี้ทำได้รวดเร็วกับกล้วยไม้จำนวนมาก ไม่ทำให้กล้วยไม้ไม่บอบช้ำ แต่ป้องกันโรคระบาดจากแมลงได้ยาก <br />ใช้บัวรดน้ำ วิธีนี้มีข้อดีคือต้นทุนต่ำ ส่วนข้อเสียคือถ้ามีกล้วยไม้จำนวนมากจะต้องใช้เวลาในการรดน้ำมาก หรือถ้าขาดความระมัดระวังฝักบัว ก้านบัว อาจจะกระทบต้น กระทบดอกกล้วยไม้ ทำให้กล้วยไม้บอบช้ำได้ <br />สายยางติดหัวฉีด การใช้สายยางควรใช้หัวฉีดชนิดฝอยละเอียด การรดน้ำวิธีนี้สะดวก รวดเร็วและทุ่นแรง เหมาะสำหรับการปลูกเลี้ยงกล้วยไม้เป็นจำนวนมาก <br />สปริงเกอร์ คือการใช้หัวฉีดติดตั้งอยู่กับที่แล้วพ่นน้ำเป็นฝอยให้กระจายไปทั่วบริเวณที่ต้องการ การรดวิธีนี้สะดวกสบายและรวดเร็วที่สุด ข้อเสียคือต้องลงทุนสูงและใช้ได้กับกล้วยไม้ที่มีความต้องการน้ำเหมือนๆ กัน ไม่เหมาะกับการเลี้ยงกล้วยไม้จำนวนน้อย แต่หลากหลายชนิด<br /> <br /><strong>เวลาที่เหมาะสมแก่การให้น้ำ</strong><br /><br />การรดน้ำกล้วยไม้ปกติควรรดวันละครั้ง ยกเว้นวันที่ฝนตกหรือกระถางและเครื่องปลูกยังมีความชุ่มชื้นอยู่ การรดน้ำกล้วยไม้ควรรดในเวลาที่แดดไม่ร้อนจัด เวลาที่เหมาะสมคือตอนเช้าเวลาประมาณ 6.00-9.00 น. เพราะนอกจากจะไม่ร้อนแล้วจะมีช่วงเวลาที่มีแสงแดดยาวนาน กล้วยไม้มีความจำเป็นต้องใช้แสงแดดไปช่วยในการปรุงอาหารเพื่อไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ฉะนั้นช่วงเวลากลางวันจึงเป็นเวลาที่กล้วยไม้ต้องใช้รากดูดความชื้นและนำอาหารไปเลี้ยงส่วนต่างๆ มากที่สุด การรดน้ำในเวลาเช้าจึงได้รับประโยชน์มากที่สุด ในการรดน้ำกล้วยไม้ควรรดให้เปียก เพื่อเป็นการชะล้างเศษปุ๋ยที่เหลือตกค้างซึ่งอาจเป็นพิษแก่กล้วยไม้ให้ไหลหลุดไป ไม่ควรรดน้ำแรงๆ หรือรดน้ำอยู่กับที่นานๆ ควรรดแบบผ่านไปมาหลายๆ ครั้งจนเปียกโชก ทั้งนี้เพื่อให้กระถางและเครื่องปลูกมีโอกาสดูดซึมอุ้มน้ำไว้เต็มที่ การรดน้ำกล้วยไม้ควรรดให้ถูกเฉพาะรากกระถางและเครื่องปลูกเท่านั้น ไม่ควรรดน้ำให้ถูกเรือนยอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกล้วยไม้ที่มีเรือนยอดใหญ่ เช่น กล้วยไม้สกุลแวนด้าและสกุลช้าง เพราะน้ำอาจตกค้างอยู่ที่เรือนยอดซึ่งอาจทำให้เกิดโรคยอดเน่าได้ <br /><br /><strong>ปุ๋ย ที่นำมาให้กับกล้วยไม้ </strong><br /><br />โดยทั่วไปนิยมใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ในการปลูกกล้วยไม้ เพราะนอกจากจะละลายน้ำได้ดี สะดวกในการใช้ ยังมีธาตุอาหารครบถ้วนตามความต้องการของกล้วยไม้ด้วย ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ที่ใช้กับกล้วยไม้มี 3 ลักษณะ คือ ลักษณะเป็นน้ำ เป็นเกล็ดละลายน้ำ และเป็นเม็ดละลายช้า <br />ปุ๋ยน้ำ เป็นปุ๋ยที่มีธาตุอาหารละลายอยู่ในรูปของของเหลว เมื่อต้องการใช้ต้องนำมาผสมกับน้ำตามส่วนที่ระบุบนฉลาก ข้อดีของปุ๋ยน้ำคือละลายง่าย กล้วยไม้สามารถดูดไปใช้ได้เลย ไม่ตกค้างอยู่ในเครื่องปลูก ซึ่งถ้ามีปุ๋ยตกค้างอยู่ในเครื่องปลูกมากอาจเป็นอันตรายต่อกล้วยไม้ได้ <br />ปุ๋ยเกล็ดละลายน้ำ เป็นปุ๋ยที่มีธาตุอาหารต่างๆ ที่จำเป็นผสมอยู่ตามสัดส่วน เมื่อจะใช้ต้องนำไปผสมกับน้ำตามสัดส่วนที่ระบุไว้ข้างภาชนะบรรจุปุ๋ย ปุ๋ยผงบางชนิดละลายน้ำได้ดี แต่บางชนิดละลายไม่หมด ปุ๋ยผงจึงไม่เหมาะสำหรับรดกล้วยไม้มากเท่ากับปุ๋ยน้ำ <br />ปุ๋ยเม็ดละลายช้า เป็นปุ๋ยชนิดเม็ดเคลือบที่ภายในบรรจุปุ๋ยไว้เพื่อให้ปุ๋ยค่อยๆ ละลายออกมาอย่างช้าๆ ปุ๋ยชนิดนี้จึงใส่เพียงครั้งเดียวจึงสามารถอยู่ได้นานหลายเดือน จึงทำให้ง่ายในการใช้ ประหยัดแรงงานไม่ต้องใส่บ่อยๆ แต่ปุ๋ยชนิดนี้มีราคาสูง และเหมาะกับกล้วยไม้ที่มีเครื่องปลูกอย่างกล้วยไม้ที่มีระบบรากดินและรากกึ่งอากาศ เช่น แวนด้า หวาย แคทลียา<br /> <br /><br /><strong>การให้ปุ๋ย </strong><br /><br />ระยะแรกของการปลูกกล้วยไม้ควรให้ปุ๋ยที่มีธาตุไนโตรเจนสูง เพื่อช่วยเร่งการเจริญเติบโตของลำต้นและใบ เมื่อต้นกล้วยไม้เจริญถึงระยะให้ดอกหรือต้องการเร่งให้ออกดอก ควรใช้ปุ๋ยสูตรที่มีธาตุฟอสฟอรัสสูงเพื่อกระตุ้นให้กล้วยไม้ออกดอก ปริมาณปุ๋ยที่ใช้ในช่วงฤดูร้อนควรให้ปุ๋ยมากกว่าฤดูหนาวกับฤดูฝน ลูกกล้วยไม้ควรให้ปุ๋ยในอัตราที่อ่อนกว่ากล้วยไม้ใหญ่ ถ้าเป็นต้นที่โตเร็วและได้รับแสงแดดมากต้องให้ปุ๋ยมากกว่าพวกที่โตช้าและเลี้ยงในร่ม การให้ปุ๋ยควรให้สัปดาห์ละครั้ง การรดปุ๋ยกล้วยไม้ควรรดให้ถูกส่วนรากเพราะเป็นส่วนที่ดูดธาตุอาหารและน้ำได้ดีกว่าใบ และไม่ทำให้กล้วยไม้บอบช้ำ <br /><br /><strong>วิธีการให้ปุ๋ยกล้วยไม้สามารถทำได้หลายวิธีดังนี้ </strong><br /><br />รดด้วยบัวรดน้ำชนิดฝอย การให้ปุ๋ยวิธีนี้ถ้ารดกล้วยไม้ที่แขวนราวหลายๆ ราว กล้วยไม้ที่อยู่ราวในๆ จะได้รับปุ๋ยไม่ทั่วถึง วิธีแก้ไขโดยแขวนกล้วยไม้เป็นแถวตามแนวตั้ง ทั้งนี้เพื่อสะดวกแก่การรดน้ำหรือรดปุ๋ยด้วยฝักบัวและสะดวกแก่การบำรุงรักษาได้ทั่วถึงด้วย ถ้าใช้วิธีตั้งกล้วยไม้ไว้บนชั้นแล้วการรดน้ำหรือรดปุ๋ยด้วยวิธีนี้จะสะดวกขึ้น <br />พ่นด้วยเครื่องฉีดชนิดฝอย เป็นวิธีที่เหมาะกับทุกลักษณะของกล้วยไม้ ไม่ว่าจะตั้งหรือแขวนกล้วยไม้ก็สามารถใช้วิธีนี้ได้ แต่ควรเป็นเครื่องฉีดชนิดสูบหรืออัดลม ข้อดีคือทำให้กล้วยไม้ได้รับปุ๋ยทั่วถึงโดยไม่เป็นอันตรายหรือบอบช้ำจากการกระทบกระเทือนหรือกระแสน้ำแรงเกินไป <br /><br />วิธีจุ่ม คือการให้ปุ๋ยโดยจุ่มกระถางกล้วยไม้ลงในน้ำปุ๋ยที่ผสมไว้ ข้อดีของวิธีนี้คือไม่เปลืองน้ำปุ๋ยเพราะน้ำปุ๋ยไม่รั่วไหลไปไหนนอกจากติดไปกับกระถางกล้วยไม้ ความชุ่มของน้ำปุ๋ยในกระถางทั่วถึงดี ข้อเสียคือกล้วยไม้บางกระถางอาจมีโรคและแมลงอาศัยอยู่ เมื่อจุ่มลงในน้ำปุ๋ยโรคและแมลงจะปนออกมากับน้ำปุ๋ย เมื่อนำกระถางกล้วยไม้อื่นมาจุ่มจะทำให้ติดเชื้อโรคและแมลงนั้นได้ ฉะนั้นวิธีนี้จึงอาจเป็นสื่อติดต่อของโรคและแมลงได้ง่าย และถ้าหากไม่ใช้ความระมัดระวังแล้วหน่อที่แตกใหม่อาจจะกระทบกับความแข็งของภาชนะที่ใส่ปุ๋ยทำให้บอบช้ำและเน่าได้ <br />ปล่อยน้ำปุ๋ยเข้าท่วมกระถางแล้วระบายออก วิธีนี้เป็นวิธีที่ใช้สำหรับการปลูกกล้วยไม้หรือต้นไม้กระถางในเรือนกระจกใหญ่ๆ โดยตั้งกระถางบนโต๊ะที่ทำเป็นอ่างเก็บน้ำได้ เมื่อต้องการให้ปุ๋ยก็ปล่อยน้ำปุ๋ยที่ผสมตามสัดส่วนให้เข้าไปท่วมกระถางกล้วยไม้ตามระยะกำหนดเวลาที่ต้องการ เมื่อเสร็จแล้วก็ระบายน้ำปุ๋ยออก วิธีนี้ถ้านำไปใช้กับบริเวณเนื้อที่ที่มีต้นไม้มากๆ และเป็นบริเวณที่ควบคุมสภาพของธรรมชาติแวดล้อมได้จะได้ผลดี <br />ใช้เครื่องผสมปุ๋ยกับน้ำ เป็นเครื่องผสมปุ๋ยแบบอัตโนมัติที่ใช้ในการผสมปุ๋ยกับน้ำตามอัตราส่วนที่ต้องการ โดยต่อเครื่องเข้ากับท่อน้ำที่ใช้รดกล้วยไม้ ภายในเครื่องมีปุ๋ยละลายน้ำเข้มข้นอยู่ เมื่อรดน้ำ ปุ๋ยก็จะผสมไปกับน้ำแล้วพ่นออกไปสู่กล้วยไม้ผ่านไปทางหัวฉีดทันที เครื่องผสมปุ๋ยนี้สามารถจะปรับหรือตั้งเพื่อให้ปุ๋ยผสมไปกับน้ำตามอัตราความเข้มที่ต้องการได้ จึงเหมาะสำหรับสวนกล้วยไม้ที่มีจำนวนกล้วยไม้มากๆ สำหรับการให้ปุ๋ยชนิดเม็ดละลายช้าทำโดยโรยเม็ดปุ๋ยบริเวณเครื่องปลูกที่ใกล้กับรากของกล้วยไม้ตามสัดส่วนที่ระบุไว้ข้างภาชนะที่บรรจุปุ๋ย<br /> <br /><br /><strong>เวลาที่เหมาะแก่การให้ปุ๋ย </strong><br /><br />เนื่องจากสิ่งแวดล้อมมีความสัมพันธ์กับการให้ปุ๋ยอยู่มาก เช่น ปุ๋ยจะเป็นประโยชน์แก่กล้วยไม้ได้ต้องมีแสงสว่าง มีความอบอุ่น อุณหภูมิพอเหมาะและมีความชุ่มชื้นพอดี เป็นต้น แสงสว่างหรือแสงแดดที่เป็นประโยชน์แก่กล้วยไม้คือแสงแดดในตอนเช้า ตั้งแต่เช้าจนถึง เวลาประมาณ 11.00 น. หลังจากนี้แสงแดดจะแรงและมีความร้อนสูงเกินไป การรดปุ๋ยในเวลาเช้า แสงแดดจะช่วยให้กล้วยไม้ได้ใช้ปุ๋ยได้เต็มที่ เพราะแสงแดดช่วยผลิตกำลังงานที่จะใช้ดูดปุ๋ยขึ้นมาใช้ประโยชน์ในการสร้างความเจริญเติบโตของกล้วยไม้ การรดปุ๋ยควรรดสม่ำเสมออาทิตย์ละครั้ง เพื่อกล้วยไม้จะได้รับปุ๋ยหรืออาหารอย่างสม่ำเสมอ ถ้าหากวันที่ครบกำหนดให้ปุ๋ยอากาศครื้มฝนไม่ควรรดปุ๋ย เนื่องจากไม่มีแสงแดดช่วยกล้วยไม้ก็ไม่สามารถดูดซึมปุ๋ยไปใช้ประโยชน์ได้เต็มที่ และถ้าหากฝนตกปุ๋ยก็จะถูกชะล้างไปกับฝนโดยที่กล้วยไม้ไม่ได้รับประโยชน์จากปุ๋ยนั้นเลย จึงควรงดการให้ปุ๋ยในวันดังกล่าว และอาจเลื่อนการให้ปุ๋ยไปในวันถัดไป หรืออาจงดให้ปุ๋ยในอาทิตย์นั้นแล้วไปรดในอาทิตย์ถัดไปก็ได้ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพhttp://www.blogger.com/profile/05782375648581338254noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3403432111914106980.post-3954874978106995492009-07-13T17:06:00.005+07:002009-07-13T17:12:57.676+07:00แมลงศัตรูหลักของกล้วยไม้<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjw6ubeLp3KoKnxcWkFQq5AfkGanjq1jlNhuuqUMPE_DVX1pIh_8t0Tm__F6OyL3NzQoay_aRwdNje0JPW_jRJ7TsVdKUh8jMoM-jMNq0aiGQbQ7W8xgb4_0s6UXwBh4Y4cX-KJeaq96-c/s1600-h/%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%8A%E0%B8%A2%E0%B9%84%E0%B8%9F.jpg"><img style="cursor:pointer; cursor:hand;width: 200px; height: 189px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjw6ubeLp3KoKnxcWkFQq5AfkGanjq1jlNhuuqUMPE_DVX1pIh_8t0Tm__F6OyL3NzQoay_aRwdNje0JPW_jRJ7TsVdKUh8jMoM-jMNq0aiGQbQ7W8xgb4_0s6UXwBh4Y4cX-KJeaq96-c/s320/%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%8A%E0%B8%A2%E0%B9%84%E0%B8%9F.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5357885665488444114" /></a><br /><br /><br />เพลี้ยไฟ เป็นที่รู้จักกันดีในวงการผู้ปลูกเลี้ยงกล้วยไม้ ในชื่อว่า "ตัวกันสี" เป็นแมลงปากดูดที่มีขนาดเล็กมาก มีความยาวประมาณ ? - 2 มิลลิเมตร รูปร่างเรียวยาว ตัวอ่อนและตัวเต็มวัยมีลักษณะคล้ายกัน แต่ตัวอ่อนไม่มีปีก ตัวอ่อนมีสีเหลืองอ่อนหรือสีน้ำตาลอ่อน หรือสีดำ ตัวแก่มีปีกซึ่งมีลักษณะแคบยาว มักจะพบเห็นตัวอ่อนเกาะบนกล้วยไม้ เพลี้ยไฟมีการเคลื่อนไหวรวดเร็วมาก ถ้าไม่สังเกตจะมองไม่เห็นตัว <br /> ลักษณะอาการ เพลี้ยไฟเป็นแมลงที่ดูดน้ำเลี้ยงจากส่วนที่อ่อนๆ เช่น ตามยอด ตาและดอก มักพบเพลี้ยไฟเข้าทำลายกล้วยไม้ในฤดูร้อนและฤดูฝน ทำความเสียหายมากแก่กล้วยไม้ในระยะที่ดอกตูมและดอกกำลังบาน โดยการดูดกินน้ำเลี้ยง ทำให้ดอกตูมชะงักการเจริญเติบโต เป็นสีน้ำตาลและแห้งคาก้านช่อดอก ส่วนอาการที่ดอกบานเริ่มแรกจะเห็นเป็นรอยแผลสีซีดขาวที่ปากหรือกระเป๋า และตำแหน่งของกลีบดอกที่ซ้อนกัน ต่อมาแผลจะกลายเป็นสีน้ำตาลเรียกว่า "ดอกไหม้หรือปากไหม้" ดอกเหี่ยวแห้งง่าย <br /> การป้องกันและกำจัด ใช้ O-BAC 20 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร โดยฉีดพ่นในช่วงเย็นๆ เพื่อกำจัดและตัดวงจรของของศัตรูพืชต่างๆ<br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhnplAqEsstYcN4CxxmyvZikn0mNSQC7ExhzvIWO2N6F2cCb4SSsFTUrEwhqM6-w6zgQM9gMVvY2ktht90EGGNgo7AXU1Tp2oEXSf74T5vTRlDgUhW-12R8McSI13z-I02rkKbq8PQAqEg/s1600-h/Mangmite.jpg"><img style="cursor:pointer; cursor:hand;width: 254px; height: 169px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhnplAqEsstYcN4CxxmyvZikn0mNSQC7ExhzvIWO2N6F2cCb4SSsFTUrEwhqM6-w6zgQM9gMVvY2ktht90EGGNgo7AXU1Tp2oEXSf74T5vTRlDgUhW-12R8McSI13z-I02rkKbq8PQAqEg/s320/Mangmite.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5357885388260557106" /></a><br /><br />ไรแดงหรือแมงมุมแดง <br /><br /> เป็นศัตรูที่สำคัญที่สุดของกล้วยไม้ โดยเฉพาะกล้วยไม้สกุลหวาย ไรแดงเป็นศัตรูจำพวกปากดูดมีขนาดเล็กมาก แต่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าเป็นจุดสีแดงเล็กๆ เคลื่อนไหวได้ ไรแดงมีสีต่างๆ เช่น สีแดง สีเหลืองอมเขียว สีเหลืองและส้ม รูปร่างค่อนข้างกลม มักจะอยู่รวมกันเป็นกลุ่มทางด้านใต้ใบ <br /> ลักษณะอาการ ไรแดงจะทำลายทั้งใบและดอก โดยจะดูดน้ำเลี้ยง ถ้าดูดน้ำเลี้ยงที่ใบจะทำให้เกิดเป็นจุดด่าง ผิวใบไม่เรียบ มีสีเหลืองและค่อยๆ เป็นสีเข้มขึ้นจนถึงสีน้ำตาล ถ้ามีการทำลายมากๆ จะมองเห็นบริเวณนั้น <br /> การป้องกันและกำจัด ทำได้โดยเก็บใบและดอกที่ถูกทำลายไปเผาและใช้ O-BAC 20 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นทั้งต้นชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพhttp://www.blogger.com/profile/05782375648581338254noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-3403432111914106980.post-48864308596105822422009-07-13T16:45:00.012+07:002009-07-13T16:55:24.325+07:00โรคต่างของกล้วยไม้สายพันธุ์ต่างๆ<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhgzgbp4BrsEUNKEMIF3ZoooffvvulZTlYGwRaRPQ4Ss80sbshV1dJOv10gZR6z2o8G98PSJoTglpF0HQgcgpOnPf5rEZpl9_0HOSOQB4XTHUsQlOpb16AgANrlJdDDfowfdYeccQfAUdY/s1600-h/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%B3.jpg"><img style="cursor:pointer; cursor:hand;width: 240px; height: 320px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhgzgbp4BrsEUNKEMIF3ZoooffvvulZTlYGwRaRPQ4Ss80sbshV1dJOv10gZR6z2o8G98PSJoTglpF0HQgcgpOnPf5rEZpl9_0HOSOQB4XTHUsQlOpb16AgANrlJdDDfowfdYeccQfAUdY/s320/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%B3.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5357881099989659970" /></a><br /><br /><strong>โรคราดำ</strong><br /><br />เป็นโรคที่พบเสมอกับกล้วยไม้ที่เลี้ยงไว้กับต้นไม้ใหญ่ ซึ่งตัวเชื้อรานั้นไม่ทำอันตรายต่อต้นและดอก<br />เพียงแต่มันไปเกาะบนผิวเท่านั้น แต่อาจส่งผลมากถ้ามีการเกาะมากขึ้น ทำให้สังเคราะห์แสงได้น้อยลง<br /><br />สาเหตุ: เกิดจากเชื้อรา Meliola sp<br /><br />อาการของโรค: บริเวณใบและลำลูกล้วยไม้จะถูกปกคลุมด้วยผงดำๆ ของใยและสเปอร์ของเชื้อรา<br />มองดูคล้ายผงเขม่า ทำให้กล้วยไม้สกปรก <br /><br />*การแพร่ระบาด: เชื้อราแพร่มาจากไม้ต้นใหญ่ เช่น มะม่วง ส้ม โดยสเปอร์ปลิวมากับลม<br />หรือติดมากับแมลงแล้วยังอาจแพร่ไปยังกล้วยไม้ต้นอื่นๆได้<br /><br />**สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการเป็นโรค: เชื้อรานี้มักขึ้นตามหยดน้ำหวาน หรือมูลที่เพลี้ยอ่อน<br />เพลี้ยแป้ง ถ่ายออกมา และมักพบในบริเวณใกล้หรือใต้ต้นไม้ใหญ่<br /><br />การป้องกัน: <br />แยกหรือทำลายต้นที่เป้นโรค หรือฉีดพ่น โคโค-แม็กซ์ ป้องกันทุก 15-20 วัน <br /><br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhD7nFVngULfiOtcOxWr6vEVmkgIl9UgbuX2iMgG4MAxQ97ISqseHNvxyhyphenhyphenY5UOOPR9jjLDZa-joDJiqz6S25VewXnEig5vjjTFxD7ateROXhp8CR5GP12vntTb_HAwFDFOuMhpaTRh0GE/s1600-h/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%AA%E0%B9%89%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%94.jpg"><img style="cursor:pointer; cursor:hand;width: 244px; height: 320px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhD7nFVngULfiOtcOxWr6vEVmkgIl9UgbuX2iMgG4MAxQ97ISqseHNvxyhyphenhyphenY5UOOPR9jjLDZa-joDJiqz6S25VewXnEig5vjjTFxD7ateROXhp8CR5GP12vntTb_HAwFDFOuMhpaTRh0GE/s320/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%AA%E0%B9%89%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%94.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5357879345345096482" /></a><br /><br /><strong>โรคเน่าดำหรือโรคเน่าเข้าไส้</strong><br /><br />เป็นโรคที่สำคัญและมักพบเห้นบ่อยๆ เพราะสามารถเป็นได้กับกล้วยไม้หลายชนิด<br />และถ้าเกิดกับลูกกล้วยไม้จะทำให้ตายทั้งกระถางในเวลาอันรวดเร็ว<br /><br />****อาการของโรค<br /><br />เกิดขึ้นได้ทุกส่วนของกล้วยไม้ตั้งแต่ ราก ใบ ยอด และดอก ถ้าเชื้อราเข้าทำลายรากจะทำให้รากเน่าแห้ง<br />ซึ่งจะทำให้ใบเหลืองร่วง และถ้าทำลายยอดจะทำให้ยอดเน่าเป้นสีน้ำตาล เมื่อจับจะหลุดติดมามือมาได้ง่าย <br />ในระยะรุนแรงเชื้อราจะลุกลามเข้าไปในลำต้น เวลาผ่าต้นจะเห้นสีดำหรือน้ำตาลตามแนวยาว <br />ในบางครั้งจะเเสดงอาการที่ใบ โดยเป้นจุดกลมชุ่มน้ำ สีน้ำตาลอ่อนจนถึงสีน้ำตาลเข้ม<br />แล้วลุกลามเข้าไปในซอกใบ <br /><br />สำหรับการสังเกตแบ่งได้เป้นข้อ ๆ ดังนี้นะ<br />1 อาการที่ใบ เริ่มแรกจะเป้นจุดใส ชุ่มน้ำ สีเหลือง ต่อมาเป้นสีน้ำตาลและดำในที่สุด<br />แผลจะขยายใหญ่ลุกลามไปอย่างรวดเร็ว ในสภาพที่มีความชื้นสูง <br /><br />2 อาการที่ต้น เชื้อราเข้าทางยอดหรือลำต้น ใบจะเหลืองหรือเน่าดำหลุดร่วงจากต้นได้ง่าย <br />กรณีเข้าทางยอดก้อจะหลุดติดมือขึ้นมา กรณีที่เชื้อราเข้าทางโคนต้น <br />ใบจะเหลืองจากโครต้นขึ้นไปหาส่วนยอดเรื่อยๆ ซึ่งส่วนใหญ่เรียกว่า "โรคแก้ผ้า"<br /><br />3 อาการที่ราก เป้นแผลสีดำ เน่า แห้ง ยุบตัวลง ต่อมาจะลามไปในต้น<br /><br />4 อาการที่ดอก บนกลีบดอกเป้นแผลจุดสีน้ำตาล อาจมีสีเหลืองล้อมรอบแผลเหล่านั้น<br /><br />5 อาการที่ก้านช่อดอก เมื่อเชื้อราทำลายตรงก้านช่อ จะเห้นแผลเน่าลุกลาม ก้านช่อจะล้มพับในเวลาต่อมา<br /><br />การแพร่ระบาด<br /><br />เป้นโรคที่แพร่จากต้นหนึ่งไปยังอีกต้นหนึ่งได้ง่าย โดยเฉพาะในฤดูฝน อากาศที่มีความชื้นสูง<br />สปอร์ของเชื้อราจะกระเด็นไปกับน้ำฝนหรือระหว่างการรดน้ำต้นไม้<br /><br />-การป้องกัน<br /><br />1 ปรับสภาพโรงเรือนให้โปร่ง อย่าปลูกก้วยไม้แน่นเกินไป<br />2 ถ้าพบกระถางไหนที่เป้นโรค ต้องทำลายเสีย (แต่บางสวนมักนำมาขายต่อในราคาถูก)<br />3 ถ้าเป็นกับต้นกล้วยไม้ที่โตแล้ว ควรตัดส่วนที่เป้นโรคออกจนถึงเนื้อดี<br />แล้วใช้สารเคมีป้องกันป้ายบริเวณแผล<br />4 ไม่ควรให้น้ำกล้วยไม้ตอนเย็นหรือใกล้ค่ำ โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว เพราะจะทำให้เกิดสภาพอากาศเย็น<br />ความชื้นสูง ซึ่งเหมาะกับการเจริญเติบโตของเชื้อรา<br /><br />การป้องกันและกำจัด<br /><br />สามารถใช้ โคโคแม็กซ์ ฉีดป้องกัน ได้ทุก 15-20 วัน หรือหากเป็นโรค ให้ฉีดกำจัดโรคทุก 5-7 วัน <br /><br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhr2vjcIx7XA_nQJLEGlglGXMIZcj3BABn_4oO5nW6dtqacQswlLaU8IQhe20FrrfdLbuX2kfTZzYK7PztnV104a0OUpm0TaxcoItcblWRAZnDqOzOkhTi61Fc2vjv0TRUEb1vJ2iVV56k/s1600-h/%E0%B9%83%E0%B8%9A%E0%B8%88%E0%B8%B8%E0%B8%94.jpg"><img style="cursor:pointer; cursor:hand;width: 320px; height: 187px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhr2vjcIx7XA_nQJLEGlglGXMIZcj3BABn_4oO5nW6dtqacQswlLaU8IQhe20FrrfdLbuX2kfTZzYK7PztnV104a0OUpm0TaxcoItcblWRAZnDqOzOkhTi61Fc2vjv0TRUEb1vJ2iVV56k/s320/%E0%B9%83%E0%B8%9A%E0%B8%88%E0%B8%B8%E0%B8%94.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5357879949259827186" /></a><br /><br /><br /><strong>โรคใบจุด</strong><br /><br />โรคใบจุด สาเหตุเกิดจากเชื้อรา Phyllostictina psriformis พบมากในกล้วยไม้สกุลแวนด้าและสกุลหวาย ทำให้ต้นกล้วยไม้มีการเจริญเติบโตลดลง เนื่องจากใบมีการปรุงอาหารได้น้อยลงครับ<br />ถ้าโรคนี้เกิดในกล้วยไม้สกุลแวนด้า แผลจะเป็นรูปยาวรีคล้ายกระสวย ถ้าเป็นมากบางครั้งแผลจะรวมกันเป็นแผ่น บริเวณตรงกลางแผลจะมีตุ่มนูนสีน้ำตาลดำ เมื่อลูบดูจะรู้สึกสากมือ ซึ่งในเวลาต่อมาตุ่มนูนนี้จะแตกออกมีสปอร์จำนวนมาก ระบาดในฤดูฝนถึงฤดูหนาวครับ <br />แต่ถ้าโรคนี้เกิดกับกล้วยไม้สกุลหวาย ก็จะแตกต่างจากสกุลแวนด้า คือ ลักษณะแผลเป็นจุดกลมสีน้ำตาลเข้มหรือดำ ขอบแผลสีน้ำตาลอ่อน ขนาดแผลมีได้ตั้งแต่เท่าปลายเข็มหมุดจนถึงขนาดใหญ่ประมาณ 1 เซนติเมตร บางครั้งแผลจะบุ๋มลึกลงไป หรืออาจนูนขึ้นมาเล็กน้อยหรือเป็นสะเก็ดสีดำ เกิดได้ทั้งด้านบนใบและหลังใบ บางทีอาจมีลักษณะแตกต่างออกไปเล็กน้อย คือ บนใบจะมีอาการเป็นจุดกลมสีเหลือง เห็นได้ชัดเจน จุดกลมเหลืองเหล่านี้บางจุดจะมีสีดำบริเวณกลางและค่อยแผ่ขยายเป็นจุดกลมสีดำทั้งหมด<br />กับกล้วยไม้สกุลหวายนั้น สามารถเกิดโรคนี้ขึ้นได้ตลอดปีเลยทีเดียวครับ<br />เราสามารถป้องกันและกำจัดได้โดยใช้เชื้อ โคโค-แม็กซ์ ฉีดพ่นทุก 5-7 วัน หากป้องกัน 14-20 วันต่อครั้งครับ <br /><br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjLQOUtbyoO3aNLEJb2AFQpi9KXv76pprA7UTBzQLbfvZpejlL3fGnvJCV0iIeeqeUIKHTdmcVAR1sXHQj1D6esc5uNSih0OGSYgia707wXbYpSzdbnSofIcqidDiyY1duZ9bAZazIWJqY/s1600-h/%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B0.jpg"><img style="cursor:pointer; cursor:hand;width: 268px; height: 320px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjLQOUtbyoO3aNLEJb2AFQpi9KXv76pprA7UTBzQLbfvZpejlL3fGnvJCV0iIeeqeUIKHTdmcVAR1sXHQj1D6esc5uNSih0OGSYgia707wXbYpSzdbnSofIcqidDiyY1duZ9bAZazIWJqY/s320/%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B0.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5357880265857335490" /></a><br /><br /><strong>โรคเน่าเละ </strong><br /><br />เป็นโรคที่เกิดเสมอในกล้วยไม้หลายสกุล ซึ่งจากรายงานพบว่า กล้วยไม้จำพวก แคทลียา ออซิเดียม ฟาแลนนอป<br />ซิมบิเดียม แวนด้าลูกผสมและเข็ม มักเป็นโรคนี้ โดยอาการเริ่มแรกจะเป็นจุดฉ่ำน้ำก่อน<br />ต่อมาจะลุกลามเป้นแผลขนาดใหญ่สีน้ำตาล และยุบตัวลง <br /><br />ลักษณะอาการ<br /><br />จะเกิดได้ทุกส่วนของกล้วยไม้ตั้งแต่ลำลูกกล้วย ลำต้นและใบ<br />โดยระยะแรกจะเป้นจุดฉ่ำน้ำขนาดเล็กบนใบหรือหน่อ ต่อมาจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอ่อนและเนื้อเยื่อบวม<br />คล้ายน้ำร้อนลวก ถ้าสภาพแวดล้อมเหมาะสม ความชื้นสูง อาการจะขยายรุกรามเร้วขึ้น ทำให้เกิดอาการเน่าเละ<br />มีกลิ่นบูดเหม้นจัด ใบจะหลุดภายใน 2-3 วัน อาจทำให้กล้วยไม้ตายทั้งต้น <br /><br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhlG1Ypiscg_tF7snd9v6xMhngQqfgPHlEs0-UjonPpXXuDY50j0qwAC0E6GrKi72rVhbHp3euoMiCckE1r63221xAHA0v4JycegbXgsAt5k9tjoUQ78_YnLjzSgfZyMK6feqr1yasSZ_s/s1600-h/%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2.jpg"><img style="cursor:pointer; cursor:hand;width: 320px; height: 210px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhlG1Ypiscg_tF7snd9v6xMhngQqfgPHlEs0-UjonPpXXuDY50j0qwAC0E6GrKi72rVhbHp3euoMiCckE1r63221xAHA0v4JycegbXgsAt5k9tjoUQ78_YnLjzSgfZyMK6feqr1yasSZ_s/s320/%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5357880950834520530" /></a><br /><br /><strong>โรคเน่า</strong><br /><br />เป็นโรคที่สำคัญ ระบาดได้กับกล้วยไม้ทุกชนิด โดยเฉพาะกล้วยไม้ตระกูล หวาย แคทลียา ฟาและนอปซิส เป็นต้น<br /><br />ลักษณะอาการ<br /><br />เริ่มแรกเป้นจุดฉ่ำน้ำขนาดเล็กบนใบหรือหน่ออ่อน จากนั้นแผลจะเริ่มขยายขนาดขึ้น <br />และเนื้อเยื่อเหมือนจะถูกน้ำร้อนลวก คือ ใบจะพองเป็นสีน้ำตาล และอาการเป้นจุดฉ่ำน้ำ<br />บนใบจะมีขอบสีเหลืองเห้นชัดเจน ภายใน 2-3 วันเนื้อเยื่อใบกล้วยไม้จะโปร่งแสงเห้นร่างแหของเส้นใบ<br />ถ้ารุนแรงต้นอาจตายได้ <br /><br />การแพร่ระบาด<br /><br />โรคจะเเพร่ระบาดรุนแรง รวดเร็ว ในสภาพอากาศร้อนและความชื้นสูง เช่น ช่วงอากาศอบอ้าวก่อนที่ฝนจะตก <br /><br />การป้องกัน <br /><br />1 เผาทำลายต้นเป้นโรค<br />2 ลูกกล้วยไม้ควรปลูกในโรงเรือน และถ้าเกิดมีโรคนี้เข้าแทรกซึม ควรงดให้น้ำสักระยะ<br />อาการเน่าจะหยุดชะงักไม่ลุกลาม ระวังการให้น้ำมากเกินไปจนแฉะ<br />3 ไม่ควรปลูกก้วยไม้แน่นเกินไป เพราะเครื่องปลูก จะอุ้มน้ำหรือชื้นแฉะตลอดเวลา<br />เมื่ออากาศภายนอกร้าวอบอ้าว อากาศในเรืองเรือน จะทำให้เกิดเป็นโรคง่าย<br />การให้ปุ๋ยไนรโตรเจนสูงมากเกินไปและมีโปแตสเซียมน้อย ทำให้ใบอวบหนา และการให้ปุ๋ยไม่ถูกสัดส่วน<br />เร่งการเจริญเติบโต <br />รวดเร็วต่อเนื่องเป็นเวลานานในช่วงฤดูร้อน เมื่อถึงฤดูฝนจะเกิดปัญหาโรคนี้ระบาด ทำใหต้นอวบ <br />เหมาะแก่การเกิดโรค<br /><br />4 การใช้สารป้องกันกำจัด ใช้ เชื้อโคโค-แม็กซ์ 5 ช้อนโต๊ะ/น้ำ 20 ลิตร แช่ทิ้งไว้ 3-5 ชั่วโมง แล้วนำไปฉีดพ่นในช่วงเย็น เพื่อหลีกเลี่ยงแสงแดด<br />ซึ่งอาจทำให้เชื้อเสื่อมฤทธิ์และไม่ควรผสมกับสารอื่นๆ ทุกชนิดชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพhttp://www.blogger.com/profile/05782375648581338254noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3403432111914106980.post-69358690106642364612009-07-13T16:40:00.002+07:002009-07-13T16:42:36.230+07:00การปลูกเลี้ยงกล้วยไม้<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjv2yBbBPhVTLS8aTM4pUZ8EFhXpj8vI7GdKl2D6HdGQiS15s8meiWpeb5lntQCJAAlkLeEjOBUGnwFmlT3hqEXWWnMKaCmgqUr8MeK1NW3QlqItVhw6UDYoIp9LQe3oWJhCu6OAkcIMuo/s1600-h/orchid%2520rayong%252005.jpg"><img style="cursor:pointer; cursor:hand;width: 320px; height: 243px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjv2yBbBPhVTLS8aTM4pUZ8EFhXpj8vI7GdKl2D6HdGQiS15s8meiWpeb5lntQCJAAlkLeEjOBUGnwFmlT3hqEXWWnMKaCmgqUr8MeK1NW3QlqItVhw6UDYoIp9LQe3oWJhCu6OAkcIMuo/s320/orchid%2520rayong%252005.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5357877765338974450" /></a><br /><strong>การปลูกเลี้ยงกล้วยไม้</strong><br />โดย ผศ.จิตราพรรณ พิลึก<br />ภาควิชาพืชสวน คณะเกษตร<br />มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์<br />จตุจักร กทม.<br /><br />การปลูกเลี้ยงกล้วยไม้ให้มีการเจริญเติบโตดี ต้องศึกษาเรื่องต่อไปนี้<br /><br />1. ชนิดพันธุ์กล้วยไม้และแหล่งกำเนิด<br /><br />1.1 ชนิดพันธุ์-ลักษณะการเจริญเติบโต<br />1.1.1 กล้วยไม้ป่า<br /><br />พบที่ไหน <br />- กล้วยไม้ดิน<br />- กล้วยไม้บนลานหิน<br />- อยู่บนต้นไม้<br /><br />ต้นลักษณะอย่างไร<br />- เจริญเติบโตเป็นกอ<br />- เป็นต้นเดี่ยว<br /><br />สภาพภูมิประเทศ<br />- ต้นไม้มีใบเขียวตลอดปี<br />- ต้นไม้ผลัดใบ<br />- มีไฟป่า น้ำท่วม<br /><br />สภาพภูมิอากาศ<br />- ร้อน/หนาว<br />- แห้ง/ชื้น<br /><br />นิสัย<br />- เลี้ยงง่าย เลี้ยงยาก<br />- ออกดอกง่าย ออกดอกยาก<br /><br />1.2 กล้วยไม้ลูกผสม<br /><br />ลูกใคร <br />พ่อแม่มาจากไหน<br />นิสัยอย่างไร<br /><br />ต้นจากการเพาะเมล็ด<br />ต้นจากการตัดแยก<br />ต้นจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ <br />2 สภาพแวดล้อมที่ดีในการปลูกเลี้ยง<br /><br />สภาพแวดล้อมทุกอย่างมีความสัมพันธ์กันมาก<br />ในการเจริญเติบโตและออดดอกของกล้วยไม้หลายชนิด<br />ดังนั้น จึงต้องทราบสภาพแวดล้อมในแหล่งกำเนิด<br />ทั้งแสงแดด อุณหภูมิ ความชุ่มชื้นและแห้งแล้งในแต่ละฤดูกาล<br />การระบายอากาศ และศัตรูที่สำคัญ<br />มาปรับสภาพแวดล้อมในการดูแลรักษา<br />เพื่อให้ต้นมีการเจริญเติบโตที่ดีและให้ดอกที่งดงาม<br /><br /><br />2.1 แสงแดด<br />- ความเข้มของแสง<br />* ต้องการแสงแดดมาก ปลูกกลางแจ้ง<br />* ต้องการแสงน้อย เช่นลดเหลือ 50% โดยใช้ตาข่ายพรางแสง<br /><br />- ช่วงเวลาการได้รับแสง ควรได้รับแสงตลอดวัน<br />ถ้าแสงไม่พอ ใบยาว ใบยอดอ่อน ไม่ออกดอก <br /><br />2.2 อุณหภูมิ<br /><br />ไม้เขตร้อน ไม้เขตหนาว<br />อากาศร้อน - ต้นโตตามปกติ - ต้นโตได้<br />ออกดอก ไม่ออกดอก <br /><br /><br />อากาศเย็น - ต้นอ้วน เตี้ย - ต้นปกติ<br />ดอกบานช้า ออกดอก<br /><br /><br />2.3 ความชื้นสัมพัทธ์<br /><br />ร้อน-ชื้นมาก โรคระบาด<br />ร้อนแห้ง แมลงระบาด<br />ความชื้นสัมพัทธ์ต่ำมาก ต้นผอม ทิ้งใบ<br /><br />2.4 การระบายอากาศ<br /><br />ระบายอากาศดี ต้นโตเร็ว ออกดอก ลดการระบาดของโรคและแมลง<br /><br />2.5 ไม่มีศัตรูธรรมชาติหรือมีน้อย<br /><br />- โรค<br />- แมลง<br />- หอย<br />- หนู<br />- นก<br />- กระรอก <br />3 รู้จักวิธีการปลูกและดูแลรักษา<br /><br />3.1 เครื่องปลูก ภาชนะปลูก และวิธีการปลูก<br /><br />เครื่องปลูก<br />- ดูดซับน้ำมาก<br />- ดูดซับน้ำน้อย<br /><br />ภาชนะปลูก<br />- กระถางดินเผา<br />- กระถางพลาสติค<br />- ท่อนไม้<br /><br />วิธีปลูก<br />- ปลูกให้ต้นตั้งตรง<br />- ปลูกให้ยอดเอียง<br />- ปลูกห้อยหัวลง<br /><br />เลือกให้เหมาะกับระบบรากและลักษณะการเจริญเติบโตของต้นตามธรรมชาติ<br /><br />3.2 น้ำและการให้น้ำ<br />ในต้นพืช มีน้ำเป็นส่วนประกอบประมาณร้อยละ 90<br />แสดงว่าจำเป็นต้องใช้น้ำในขบวนการเจริญเติบโต<br />และคุณภาพน้ำต้องดี ไม่เป็นพิษต่อระบบต้น ใบ ราก และดอก<br /><br />คุณภาพน้ำ - สะอาด ใส รสจืด ปริมาณเกลือแร่ต่ำ<br /><br />วิธีการรดน้ำ - ใช้คน ระบบอัตโนมัติ<br /><br />ปริมาณน้ำ - รดให้เปียกทั่วต้น <br />- ฤดูร้อน/ฤดูหนาว/ฤดูฝน<br />- เครื่องปลูก ใหม่/เก่า<br /><br />3.3 ธาตุอาหาร<br /><br />3.3.1 ธาตุอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโต (essential elements)<br />แบ่งเป็น 2 พวกตามปริมาณที่พืชต้องการ<br /><br />ธาตุอาหารมหัพภาค (macronutrient elements)<br />พืชต้องการมาก สูงกว่า 500 มก/กก.น้ำหนักแห้งของพืชที่เจริญโตเต็มวัย<br /><br />แบ่งเป็น<br />คาร์บอน โฮรเจน และออกซิเจน ได้จากน้ำและกาซคาร์บอนไดออกไซด์<br /><br />ธาตูอาหารหลัก ได้แก่ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม<br /><br />ธาตุอาหารรอง ได้แก่ แคลเซียม แมกนีเซียม กำมะถัน<br /><br />ธาตุอาหารจุลธาตุ (micronutrient elements)<br />พืชต้องการปริมาณน้อย ต่ำกว่า 100 มก/กก.น้ำหนักแห้งของพืชที่เจริญโตเมวัย<br />ได้แก่ โบรอน คลอรีน ทองแดง เหล็ก แมงกานีส โมลิบินัม สังกะสี และนิเกิล<br /><br /><br />3.3.2 ปุ๋ย (Fertilzer)<br />ต้นกล้วยไม้มีชีวิต และมีการเจริญเติบโต<br />ดังนั้นจึงต้องใช้ธาตุอาหารในปริมาณและชนิดที่เหมาะสม<br />เพื่อการเจริญเติบโต ผลิใบ ออกดอก และหน่อใหม่<br />ไม่จำเป็นต้องรดปุ๋ยทุกวัน<br />เพียงสัปดาห์ละครั้งก็เพียงพอสำหรับการเจริญเติบโตและให้ดอก<br /><br />การให้ปุ๋ยกล้วยไม้ จะใช้สูตรไหน เท่าไหร่ เมื่อใด<br />ขึ้นกับชนิดปุ๋ยและวิธีการให้ปุ๋ย<br />ชนิดของกล้วยไม้<br />โรงเรือนและสภาพแวดล้อม<br /><br />ชนิดปุ๋ย <br />ปุ๋ยอินทรีย์ - ปุ๋ยปลา ปุ๋ยหมัก<br />ปุ๋ยอนินทรีย์ หรือปุ๋ยเคมี<br />- ปุ๋ยเม็ด ปุ๋ยเกร็ด ปุ๋ยน้ำ<br />- ปุ๋ยละลายช้า<br /><br />ปุ๋ยเคมี สูตรสูง และละลายน้ำได้ทั้งหมด เป็นปุ๋ยที่เหมาะกับกล้วยไม้<br /><br />เรโชของธาตุอาหารในปุ๋ย<br />คือสัดส่วนที่เป็นเลขลงตัวน้อยๆของปริมาณธาตุอาหาร <br />ไนโตรเจน (N) ฟอสฟอรัส (P) และโพแทสเซียม (K)<br /><br />มี 4 แบบคือ <br /><br />เรโชสมดุล 1:1:1 เหมาะแก่การเจริญเติบโตปกติ<br />เรโชที่มีธาตุ N สูง เช่น 3:2:1 เร่งการเจริญเติบโตทางใบ สำหรับลูกไม้<br />เรโชที่มีธาตุ P สูง เช่น 1:2:1 ช่วยการออกดอก เร่งราก<br />เรโชที่มีธาตุ K สูง เช่น 1:3:5 ช่วยให้ต้นแข็งแรง<br /><br />สูตรปุ๋ย<br />สูตรปุ๋ย คือ ปริมาณหรือเปอร์เซ็นต์ของธาตุอาหาร N,P,K ที่มีอยู่ในปุ๋ยนั้น<br />และกล้วยไม้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ง่าย<br /><br />เช่นสูตร 21-21-21 (เรโช 1:1:1) ศุตร 15-30-15 (เรโช 1:2:1) <br /><br />สูตรปุ๋ย 30-20-10 คือน้ำหนักปุ๋ย 100 กิโลกรัม<br />มีไนโตรเจนที่พืชนำไปใช้ได้ 30 กิโลกรัม<br />มีฟอสฟอรัสที่พืชนำไปใช้ได้ 20 กิโลกรัม<br />มีโพแทสเซียมที่พืชนำไปใช้ได้ 10 กิโลกรัม<br /><br />รวม 70 กิโลกรัม<br /><br /><br />วิธีการให้ปุ๋ย<br />การละลายปุ๋ย - ละลายให้หมด<br />การรดปุ๋ย - เปียกต้น ใบ ราก<br />เวลาในการให้ปุ๋ย - เช้า<br /><br />ความถี่ในการให้ปุ๋ย ทุก 7 วัน<br />อัตราการให้ปุ๋ย กรัม/ลิตร , กรัม/ปี๊ป<br /><br />ชนิดกล้วยไม้<br />1. -กล้วยไม้ป่า<br />-กล้วยไม้ลูกผสม<br /><br />2. อายุและขนาดต้น<br />- ลูกกล้วยไม้<br />- กล้วยไม้รุ่น<br />- ต้นออกดอกแล้ว<br />- ต้นขนาดเล็ก/ขนาดใหญ่<br />- กอเล็ก/กอใหญ่<br /><br />3. วัฎจักรการเจริญเติบโต<br />- พวกออกดอกตามฤดูกาลปีละครั้ง ให้สูตรเสมอ ใกล้ออกดอกให้สูตรเร่งดอก<br />- พวกออกดอกตลอดปี ต้องให้ปุ๋ยสม่ำเสมอ<br /><br />4. โรงเรือนและสภาพแวดล้อม<br />- ความเข้มของแสงแดดและการระลายอากาศ<br />- ฤดูกาล ฤดูร้อน ฤดูหนาว ฤดูฝน <br />ต้นกล้วยไม้เป็นพืชที่ปลูกเลี้ยงง่าย<br />ถ้าสามารถนำความรู้เรื่องชนิดพันธุ์ แหล่งกำเนิด<br />และสภาพแวดล้อมในการปลูกเลี้ยง<br />มาใช้เป็นวิธีการปลูกและดูแลรักษา<br />จะทำให้ต้นมีการเจริญเติบโตดีและให้ดอกที่มีคุณภาพชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพhttp://www.blogger.com/profile/05782375648581338254noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3403432111914106980.post-80915698667712247592009-07-13T16:36:00.003+07:002009-07-13T16:38:19.674+07:00การดูแลวัสดุปลูกและภาชนะปลูกกล้วยไม้<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhgE3k0tbgrwT0zYU6QeHoYkN7kxLlersmj2NhNuKAx6muLYwIOtBKVP2zFcOlBghGEyiL9Vwou__oY1ljXPaOqsib3DEXS8hafYQhhmEr8EdQvEmJ2XL9u_akKbw5kP5wWI0EBR0dOR0E/s1600-h/orchid_care.jpg"><img style="cursor:pointer; cursor:hand;width: 242px; height: 320px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhgE3k0tbgrwT0zYU6QeHoYkN7kxLlersmj2NhNuKAx6muLYwIOtBKVP2zFcOlBghGEyiL9Vwou__oY1ljXPaOqsib3DEXS8hafYQhhmEr8EdQvEmJ2XL9u_akKbw5kP5wWI0EBR0dOR0E/s320/orchid_care.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5357876507032496098" /></a><br /><strong>วัสดุปลูกและภาชนะปลูกกล้วยไม้</strong><br />วัสดุปลูกหรือเครื่องปลูกมีหน้าที่ให้รากเกาะยึดเพื่อให้ลำต้นตั้งตรง ไม่โอนเอนหรือล้ม วัสดุปลูกยังทำหน้าที่สำหรับเก็บความชื้นและธาตุอาหารเพื่อให้รากดูดไปใช้ ขณะเดียวกันวัสดุปลูกก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับการระบายน้ำและการถ่ายเทอากาศรอบ ๆ ระบบราก การพิจารณาเลือกวัสดุปลูก (ครรชิต, 2535) ต้องคำนึงถึงคุณสมบัติดังนี้<br /><br />1. ช่วยให้ระบบรากและต้นกล้วยไม้เจริญงอกงามดี<br />2. หาได้ง่าย<br />3. ราคาไม่แพงนัก<br />4. ทนทานไม่ย่อยสลายเร็วเกินไป<br />5. ปราศจากสารพิษเจือปน<br />6. สะดวกต่อการใช้ปลูก<br /><br />ชนิดและคุณสมบัติของวัสดุปลูกที่ใช้ต้องคำนึงถึงลักษณะการเจริญเติบโตของต้นกล้วยไม้ ซึ่งลักษณะการเจริญเติบโตของต้นกล้วยไม้สามารถจัดได้เป็น 2 ประเภทคือ<br /><br />1. กล้วยไม้รากอากาศและกึ่งอากาศ กล้วยไม้ประเภทนี้ต้องการวัสดุปลูกที่มีการถ่ายเทอากาศและการระบายน้ำที่ดี โดยเฉพาะกล้วยไม้รากอากาศซึ่งมีรากขนาดใหญ่ ได้แก่ กล้วยไม้สกุลแวนด้า (Vanda spp.) สกุลช้าง (Rhynchostylis spp.) สกุลเข็ม (Ascocentrum spp.) สกุลกุหลาบ (Aerides spp.)ฯลฯ กล่าวคือ ขนาดวัสดุปลูกต้องมีขนาดใหญ่ และไม่อุ้มน้ำมากนัก และถ้าสามารถรดน้ำได้บ่อย ๆ หรือบริเวณที่ปลูกเลี้ยงมีความชื้นสูงพอก็ไม่มีความจำเป็นต้องใส่วัสดุปลูก วัสดุปลูกที่มีคุณสมบัติเหล่านี้ ได้แก่<br /><br />1.1 ออสมันด้า เป็นรากเฟิร์นสกุลออสมันด้า มีลักษณะเป็นเส้นฝอย มีข้อดีคือมีการถ่ายเทอากาศและการระบายน้ำดีมากแม้ว่าจะอัดแน่น จึงไม่มีปัญหาเรื่องให้น้ำมากเกินไป เก็บน้ำได้ดีประมาณ 140% ของน้ำหนักตัวเอง มีธาตุอาหารเป็นองค์ประกอบซึ่งรากกล้วยไม้สามารถดูดไปใช้ได้และมีน้ำหนักเบา แต่มีข้อเสียคือ หาได้ยาก ราคาแพง และใช้งานยากเนื่องจากต้องตัดแยกเสียเวลานาน<br /><br />1.2 ถ่าน เนื่องจากไม่มีแร่ธาตุอื่น ๆ เมื่อนำมาใช้เป็นวัสดุปลูกจึงจำเป็นต้องใส่ปุ๋ยให้ครบถ้วน แต่ไม่ย่อยสลาย มีน้ำหนักเบา ไม่มีปัญหาเรื่องรดน้ำเนื่องจากระบายน้ำได้ดี<br /><br />1.3 กาบมะพร้าว ราคาถูก หาได้ง่าย มีข้อเสียคือ ถ้ารดน้ำมากเกินไป จะอุ้มน้ำไว้มาก และอาจทำให้รากเน่าได้ง่าย นอกจากนี้กาบมะพร้าวย่อยสลายเร็วจึงต้องเปลี่ยนวัสดุปลูกบ่อย ๆ<br /><br />1.4 อิฐหักหรือกระถางแตก เก็บความชื้นได้ดี ไม่ย่อยสลายแต่มีน้ำหนักมาก มักมีปัญหาเรื่องตะไคร่น้ำขึ้นที่ผิววัสดุปลูกและรากกล้วยไม้<br /><br />1.5 โฟม มีน้ำหนักเบา ไม่อุ้มน้ำแต่ช่องว่างระหว่างก้อนโฟม สามารถเก็บความชื้นได้ดี มีความยืดหยุ่นทำให้ยึดต้นได้ดีไม่โอนเอน<br />2. กล้วยไม้ดิน พบขึ้นอยู่ตามพื้นดินที่ปกคลุมด้วยอินทรียวัตถุ ดังนั้นจึงใช้ดินร่วมผสมปุ๋ยอินทรีย์และอาจมีถ่านหรืออิฐหักปนบ้านเพื่อให้มีการระบายน้ำดีขึ้น<br />ภาชนะปลูก<br />ภาชนะปลูกกล้วยไม้ควรมีขนาดเหมาะสมกับต้นกล้วยไม้ คือ ถ้าต้นมีขนาดเล็กก็ต้องใช้ภาชนะขนาดเล็ก ถ้าใช้ภาชนะใหญ่เกินไปต้นจะเน่าแฉะได้ง่าย นอกจากนี้ถ้าปลูกต้นเล็กในภาชนะขนาดเล็กจะออกดอกเร็วกว่าการปลูกในภาชนะใหญ่ (ครรชิต, 2535)<br />หลังจากปลูกเลี้ยงกล้วยไม้หลาย ๆ ปี ควรจะเปลี่ยนวัสดุปลูกและภาชนะปลูกใหม่ เนื่องจากต้นกล้วยไม้อาจจะเจริญเติบโตล้นภาชนะปลูกออกมา หรือวัสดุปลูกเก่าผุมีตะไคร่ขึ้นทำให้สะสมโรคและแมลง ต้นกล้วยไม้จะเจริญเติบโตไม่ดีเท่าที่ควร ถ้าได้มีการเปลี่ยนภาชนะปลูกใหม่จะเจริญเติบโตดีขึ้น สำหรับกล้วยไม้สกุลแวนด้า สกุลช้าง และสกุลฟาเลนอปซิส ไม่ควรตัดรากเก่าและไม่ทำให้รากหัก เพราะจะทำให้ชะงักการเจริญเติบโต ดังนั้นกล้วยไม้กลุ่มนี้จึงไม่ควรเปลี่ยนกระถาง แต่ควรใส่ภาชนะปลูกเก่าซ้อนลงในภาชนะปลูกใหม่ที่ใหญ่ขึ้น (จิตราพรรณ, 2529)<br />ชนิดของภาชนะปลูกจำแนกได้ดังนี้<br /><br />1. ปลูกเลี้ยงแบบธรรมชาติ กล้วยไม้รากอากาศและกึ่งอากาศสามารถปลูกโดยมัดรากให้เกาะกับเปลือกท่อนไม้ หรือใช้หมากฝรั่งที่รับประทานแล้วติดลำต้นกับเปลือกท่อนไม้ซึ่งสะดวกและอยู่ได้อย่างถาวร กิ่งหรือลำต้นหลังจากปลูกต้องรดน้ำให้ชื้นเสมอหรือปลูกในช่วงฤดูฝน เพียง 2 – 3 เดือนรากก็จะเจริญยืดยาวไปตามเปลือกไม้และเกาะยึดแน่น จากนั้นจึงเอาเชือกหรือลวดที่รัดรากไว้ออก สำหรับกล้วยไม้ดินก็สามารถปลูกในแปลงดินได้แต่ต้องดูแลเรื่องการระบายน้ำและสามารถควบคุมการให้น้ำได้ เนื่องจากในช่วงพักตัวจะไม่ต้องการน้ำ<br /><br />2. กระเช้าไม้ ควรใช้กระเช้าไม้สักเนื่องจากมีความคงทนกวาไม้ชนิดอื่น ขนาดของกระเช้าควรเลือกให้เหมาะสมกับขนาดของต้น กระเช้าไม้เหมาะสำหรับกล้วยไม้รากอากาศ เนื่องจากมีความโปร่งจึงระบายน้ำและถ่ายเทอากาศดี อาจใช้ถ่านทุบใส่เป็นวัสดุปลูกเพื่อเก็บความชื้น แต่ถ้าบริเวณที่ปลูกเลี้ยงมีความชื้นเพียงพอ ก็ไม่มีความจำเป็นต้องใส่วัสดุปลูก ส่วนกล้วยไม้รากกึ่งอากาศ เช่น สกุลหวาย(Dendrobium spp.) ประเภทแคทลียา (Cattleya alliance) และสกุลออนซิเดียม (Oncidium spp.) สามารถปลูกในกระเช้าไม้ได้เช่นกัน แต่ต้องมีถ่านทุบใส่เพื่อช่วยเก็บรักษาความชื้นบริเวณราก<br />ในปัจจุบันมีการผลิตกระเช้าพลาสติกที่มีสีสันให้เลือกหลายสี มีรูปร่างและขนาดใกล้เคียงกับกระเช้าไม้ ซึ่งก็สามารถใช้เป็นภาชนะปลูกได้ดี แต่ความคงทนขึ้นอยู่กับคุณภาพของพลาสติก<br /><br />3. กระถางดินเผา กระถางที่ใช้กับกล้วยไม้รากอากาศและกึ่งอากาศจะมีการเจาะรูด้านล่างและด้านข้าง เพื่อการระบายน้ำและการถ่ายเทอากาศรอบ ๆ วัสดุปลูก<br /><br />4. กาบมะพร้าว สามารถตัดเป็นรูปต่าง ๆ ตามความต้องการหรืออาจจะใช้ลูกมะพร้าวทั้งลูกชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพhttp://www.blogger.com/profile/05782375648581338254noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3403432111914106980.post-10425420311186321942009-07-13T16:34:00.001+07:002009-07-13T16:35:42.412+07:00จำหน่ายสารชีวภาพกำจัดเชื้อรา โคโค-แม็กซ์จำหน่ายสารชีวภาพกำจัดเชื้อรา โคโค-แม็กซ์ สามารถกำจัดเชื้อราและเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรค ใบจุด เน่าดำหรือ เน่าเข้าไส้ ราดำ โรคต้นเน่าแห้งหรือโรคราเมล็ดผักกาด โรคใบใหม้ โรคเน่ายุบ โรครากเน่าโคนเน่า โรคราเห็ดในเฟิร์น โรคราสนิม โรคเขม่าดำ และโรคทุกชนิดที่เกิดจากเชื้อราเชื้อแบคทีเรีย สินค้าเป็นผง ถุงละ (1 กิโลกรัม) 450 บาท ค่าจัดส่ง 50 บาท(ส่งเป็น EMS) ฟรีหากส่งพัสดุธรรมดา ผลิตและควบคุมการผลิตโดยนักจุลชีววิทยาและนักโรคพืช ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะ หากมีข้อสงสัยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้ครับ <br /><br /><br />ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://board.212cafe.com/tanatporns<br /><br />ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ<br />โทร.087-2126507,056-912218<br />อีเมลล์. tanatporns@gmail.comชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพhttp://www.blogger.com/profile/05782375648581338254noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-3403432111914106980.post-38520497899328508432009-07-13T16:14:00.000+07:002009-07-13T16:16:48.072+07:00ฟาร์มคุณสาเกตุ กำจัดเชื้อรากับโคโค-แม็กซ์คุณสาเกส ทับทิมเงิน เกษตรกรเจ้าของฟาร์มกล้วยไม้ส่งออก จังหวัดนนทบุรี กล่าวว่าเดิมปลูกกล้วยไม้แล้วประสบปัญหา โรคเน่าเข้าไส้ และโรคราดำ ซึ่งเป็นปัญหาจากเชื้อรา คุณสาเกส จึงไปหาสารเคมีมาฉีดพ่น แฉดไป 2-3 ครั้ง เกิดปัญหาการดื้อยา ต่อมาคุณสาเกส ได้รู้จักชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ จึงได้โทรมาปรึกษานักวิชาการของชมรม ทางชมรมได้แนะนำเชื้อ โคโค-แม็กซ์ ให้คุณสาเกสไปทดลองใช้ ผลปรากฎว่าตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉีด เชื้อราก็หยุดการแพร่กระจาย พอฉีดไปได้ 2-3 ครั้งอาการของกล้วยไม้ค่อยๆดีขึ้น จนหายเป็นปรกติในเวลาประมาณ 1 เดือน คุณสาเกส โทรมารายงานผลเป็นระยะ ได้รับความพึงพอใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากใช้สารเคมีแล้ว เกิดอาการดื้อยา และได้ผลไม่เต็ม 100% คุณสาเกสบอกว่าได้แนะนำเพื่อนเกษตรกรผู้ปลูกกล้วยไม่ส่งออกให้ทดลองใช้อีกด้วย<br /><br />การใช้เชื้อ โคโค-แม็กซ์ นำเชื้อ 5 ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำ 20 ลิตรหรือ 2 ช้อนโต๊ะ/น้ำ 10 ลิตร แช่ทิ้งไว้ 3-5 ชั่วโมง เพื่อให้เชื้อขยายตัว แล้วนำไปฉีดพ่นตอนเย็น ทุก 5-7 วัน เชื้อราจะหยุดการขยายตัวทันที ตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉีด<br /><br /><br />ที่มา:ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพhttp://www.blogger.com/profile/05782375648581338254noreply@blogger.com1